พระรองของทริปนี้คือ “ถ้ำน้ำลอดกองลอ” และพระเอกของทริปนี้คือ “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ”
เป็นถ้ำเดียวกันกับคณะของ John Pollack ได้เข้าไปสำรวจเมื่อ October 20, 2008
http://news.nationalgeographic.com/news/2008/10/photogalleries/river-caves-photos/index.html/
แต่ปรากฏว่ายังไม่ได้บันทึกไว้ในบ้านแห่งนี้ ผมจึงขอสำเนาข้อมูลและภาพมาไว้ในที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่งครับ
ขอบคุณที่ติดตามชมครับ
นายทัศนาจร ออนไลน์
************************************************************************
สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องรีบบอกว่ารูปข้างบนผมไม่ได้ถ่ายเองครับ ขอยืมนาย John Pollack แห่ง National Geographic มาครับ ซึ่งรูปนี้เองทำให้คณะผมตกลงกันว่าจะไปเยี่ยมชมให้ได้
ทริปนี้เป็นทริปประเทศลาวครั้งที่ 2 ของผม ส่วนทริปลาวครั้งแรกอยู่ที่นี่ครับ VFC
ครั้งนี้เป็นทริปเที่ยวถ้ำครับ ถ้ำทั้งสองแห่งที่ตั้งใจไปชม คือ “ถ้ำนำลอดกองลอ” และ “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ” ทั้งสองแห่งอยู่แขวงคำม่วน สปป.ลาว แต่อยู่ห่างกันเกือบ 400 กม. หลังจากที่คณะตกลงใจที่จะไปชมถ้ำทั้งสอง จึงลงมือหาข้อมูล ปรากฏว่ายังมีความสบสนอยู่พอสมควร เนื่องจาก “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ” ยังไม่เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการจึงมีข้อมูลน้อยมาก และบางแหล่งข้อมูลยังเข้าใจสับสนว่าเป็นที่เดียวกับ “ถ้ำนำลอดกองลอ” ซึ่งที่จริงเป็นคนละแห่งกัน
วันที่ 13 เมษายน 2553 เวลา 08.30 น. คณะเราพร้อมกันที่ จุดลงแพขนานยนต์เทศบาลเมืองนครพนม เพื่อทำพิธีการทางตรวจคนเข้าเมือง และพิธีการทางศุลกากร เพื่อขอข้ามแดนและนำรถยนต์ออกนอกประเทศ เนื่องจากเอกสารพร้อมกันทุกคน จึงใช้เวลาไม่มากนัก
ท่าแพขนานยนต์เทศบาลเมืองนครพนม : N17.39908 E104.79039
หลังจากผ่านพิธีการเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมารอลงเรือแพขนานยนต์ได้เลย
จุดเทียบแพนครพนม : N17.39720 E104.79189
เป็น ที่น่าสังเกตว่า เราเป็นนักท่องเที่ยวเพียงคณะเดียวที่รอข้ามแดน นอกจากนั้นเป็นรถบรรทุกหัวลากขนาดใหญ่ทั้งสิ้น ที่เห็นในรูปเป็นรถจากเวียดนามครับ
มา แล้วครับเรือแพขนานยนต์ เหตุที่ผมเรียกเรือแพ ก็เราว่าเขาเป็นทั้ง “เรือ” และ “แพ” ครับ ค่าบริการคันละ 400 บาท ต่อเที่ยว แต่ลำนี้ไม่ใช่ลำที่เราจะไปด้วยครับ
คณะเรามีอยู่ 3 คันครับ นี่คันแรกได้รับเกียรติให้เป็นคันนำทาง
XL-7 เป็นสมาชิกคันที่สองครับ
ปิดท้ายด้วย Sport Rider เป็นคันสุดท้ายครับ
วิวแม่น้ำโขงวันนี้ ระดับน้ำลดลงมากครับ แต่ยังพอข้ามฝั่งได้ ใช้เวลาไม่นานประมาณ 20 นาทีก็ถึงฝั่งท่าแขกครับ
ภาพ นี้เป็นฝั่งขาขึ้นท่าแขกครับ รถที่รอข้ามฝั่งไปไทย มีแต่รถบรรทุกหนักทั้งสิ้น เป็นที่น่าสังเกต (อีกแล้ว) ว่า สินค้าที่รอข้ามฝั่งอยู่นั้น เป็นวัตถุดิบประเภท “ไม้” ครับ
จุดเทียบแพท่าแขก : N17.39710 E104.80197
เส้นสีชมพู เป็นเส้นขาไปครับ ส่วนเส้นสีเขียวเป็นเส้นขากลับ สังเกตุได้ว่าต้องอ้อมสันดอนกลางน้ำเล็กน้อย
ขึ้นฝั่งแล้ว เราจะพบอาคารนี้ก่อนครับ ยังไม่ต้องแวะครับ ให้ขับรถเข้าไปจอดใน ตม.ท่าแขกก่อนครับ
รั้วแบบนี้ละครับ เข้าไปเลย
ตม.ท่าแขก : N17.39899 E104.80137
ติดต่ออาคารนี้ก่อนเลยครับ เพื่อผ่านพิธีการทางตรวจคนเข้าเมือง
เสีย ค่าธรรมเนียมเข้าเมืองตรงนี้ครับ เสร็จแล้วเดินย้อนกลับไปอาคารแรกที่เราผ่านมา ไปทำเรื่องประกันภัย และพาสปอร์ตรถยนต์ เสียค่าธรรมเนียมพ่นยาฆ่าเชื้อ
เสร็จ แล้วติดต่ออาคารนี้ครับ เป็นอาคารของศุลกากรท่าแขก ก็ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ ตม. นั่นแหละครับ เสร็จจากอาคารนี้แล้วก็เป็นอันเสร็จพิธีครับ เล่นเอาวุ่นวายเหมือนกันครับ
สำหรับท่านที่ไม่ขับรถข้าม แต่จะข้ามเรือข้ามฟาก ก็มีบริการครับ 15,000 K
รถรับจ้างแถวด่านท่าแขก
กว่า จะเสร็จพิธีการต่างๆก็ล่วงเข้า 11 โมงกว่า คณะจึงตกลงกันว่าจะแวะกินข้าวเที่ยงกันก่อน คณะเราแวะที่ตลาดสุขสมบูรณ์ (ตกลาด กม.3) ใช้บริการร้านอาหารชาวเวียดนาม และขาดเสียมิได้ก็ต้อง “ไข่เจียว” ครับ อาหารถูกปากคณะเราทีเดียว
ตลาดสุขสมบูรณ์ (ตลาดหลัก 3) : N17.39060 E104.83022
ขนส่งมวลชนเมืองท่าแขกครับ
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันเลยครับ ที่หมายครั้งนี้ “ถ้ำน้ำลอดกองลอ” ออกจากเมืองท่าแขกมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ใช้เส้นทางหมายเลข 13
เราจะต้องเลี้ยวขวาที่ “แยกทางแบ่ง” เพื่อใช้ถนนหมายเลข 8
แยกทางแบ่ง (13x8) : N18.09766 E104.28710
ระหว่างทางหมายเลข 8 มีจุดชมวิวครับ ลองจอดรถแวะชมภูเขาหินปูน ที่วางตัวสลับซับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สวยงามดี
จุดชมวิว สาย 8 : N18.17799 E104.48399
ภูเขา
และภูเขา
จาก จุดชมวิว เราออกเดินทางต่อครับ และต้องเลี้ยวขวาที่ “แยกกองลอ” อันนี้ผมตั้งชื่อให้เอง ถนนเส้นที่เหมือนกับเราแยกออกมา แต่ก็ยังเป็นถนนเส้นหมายเลข 8 อยู่ครับ
แยกกองลอ : N18.17516 E104.50830
จอดถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ
จุดถ่ายรูป : N18.10286 E104.55242
เรามาไม่ผิดทางแน่นอนครับ อีก 29 กม. ก็จะถึงแล้วครับ
ระหว่างทางพี่น้องชาวลาว ต่างกำลังเฉลิมฉลองเทศการขึ้นปีใหม่และสงกรานต์ กันอย่างคึกคัก พ่อหนุ่มคนนี้เต็มที่เลยครับ
ภูเขาหินปูนข้างทาง
ถึงแล้วครับ ที่พักคืนนี้ของคณะเรา “สาลาหินปูน หรือ หินบูน” ครับ จะอยู่ก่อนถึงถ้ำน้ำลอดกองลอ ประมาณ 8 กม.
ทางเข้าสาลาหินปูน : N18.00719 E104.69514
บ้านพัก : N18.00621 E104.69454
อันนี้ครับเรือนพักของเรา เป็นห้องพักแบบริเวอร์วิว ไม่มีเครื่องปรับอากาศนะครับ แต่มีพัดลม น้ำ ไฟ ถึงครับ
เย็นวันนี้เราแบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้าไปสำรวจสถานที่กันครับ พบว่าช่วงนี้คึกคักเป็นพิเศษในเทศการปีใหม่ และสงกรานต์
ชาวบ้านพากันมาออกร้านเต็มไปหมด
มีปาลูกโป่งด้วย
การแสดงบนเวที
มาถึงแล้วก็ต้องลองเบียร์แห่งชาติ ซะหน่อย
ได้เวลากลับที่พักคืนนี้แล้วครับ
อาทิตย์กำลังอัสดง
ตัด ไปที่มื้อเช้าของวันที่ 14 เมษายน 2553 เลยครับ อาหารเช้าในที่พักรวมอยู่ในค่าห้องแล้ว แต่มีแค่ขนมปังฝรั่งเศสปิ้ง กับเนยและแยม ครับ อยากกินอย่าอื่นต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ห้องอาหารของเรา
บาง คนในคณะเรารู้สึกว่ายังไม่อยู่ท้อง เลยใช้บริการเนื้อย่างกับข้าวเหนียว ของแม่ค้าบริเวณก่อนเข้าถ้ำ กินกันเพลินเลยครับ เนื้อเส้นเดียวเคี้ยวได้ 10 นาที 555... และที่สำคัญ ไม่รู้ว่าเนื้ออะไรครับ
ด่านเก็บปี้ : N17.95877 E104.75535
ลานจอดรถ : N17.95720 E104.75797
ห้องสุขา : N17.95653 E104.75848
เดินข้ามน้ำไปยังปากถ้ำ
บึงน้ำหน้าถ้ำ
ถึงแล้วครับ ปากถ้ำน้ำลอดกองลอ
ปากถ้ำน้ำลอดกองลอ : N17.95791 E104.76473
แดดแรงไปหน่อยครับ รูปเวอร์ไปเลย
ซื้อตั๋วเรือที่ปากถ้ำ
เสร็จแล้วก็มารอลงเรือในถ้ำ โถงถ้ำใหญ่โตทีเดียวครับ
ถ้ำ น้ำลอดกองลอ เป็นถ้ำที่ทางการสนับสนุนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ถนนลาดยางถึงหน้าถ้ำ มีการเดินไฟส่องสว่างเข้าไปในถ้ำ เพื่อโชว์หินงอกหินย้อยภายในถ้ำด้วยครับ
เจ้านี่ตัวอะไรก็ไม่รู้ครับ เขาอาศัยอยู่ในถ้ำ น่าจะเป็นพี่น้องกับจิ้งหรีด
เชิญชมครับ
ปรากฏ ว่าที่เราได้ข้อมูลมาว่าทาการเขาเดินไฟแล้วนั้น เขาเดินไว้แค่ห้องหินงอกหินย้อย เพียงห้องเดียวเท่านั้น หลังจากห้องนี้แล้ว มืดสนิทครับ ความยาวของถ้ำน้ำลอดกองลอ 7 กม. จะมีอยู่จุดที่มีไฟส่องสว่างเพียงจุดเดียวครับ ซึ่งอยู่ในช่วงต้นถ้ำ ดังนั้นท่านที่จะไปเที่ยวต้องเตรียมไฟฉายไปด้วย และขอแนะนำครับไฟฉายที่ท่านควรนำไปควรเป็นไฟฉายแรงสูง แบบรวมแสงพุ่งตรง เนื่องจากถ้ำมีขนาดใหญ่โตมาก หากท่านใช้ไฟฉายแบบกระจายแสง ท่าจะเห็นเพียงหลังของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าท่านเท่านั้น
ถึงทางออกอีกด้านหนึ่งของถ้ำครับ แปลว่าล่องเรือ มาได้ 7 กม.แล้วครับ
ปากถ้ำด้านตะวันออก : N17.94130 E104.79795
เราจะล่องตามน้ำไปอีกประมาณ 850 เมตร ก็จะถึงที่พักครึ่งทาง
ขึ้นจากเรือ พักยืดแข้งขาสักพักครับ
จุดขึ้นฝั่ง : N17.94287 E104.80257
ที่นี่มีร้านขายน้ำไว้บริการด้วยครับ
จุดพัก : N17.94317 E104.80293
นักท่องเที่ยวคนหนึ่ง
สมาชิกส่วนใหญ่ของคณะเราครับ
บรรยากาศแบบนี้..... ก็ต้อง...... ซะหน่อย
โมบายสุดคลาสสิค
พักสักครึ่งชั่วโมง ก็ออกเดินทางกลับกันครับ
ปากถ้ำ
และก็ปากถ้ำ
เริ่มมืดอีกแล้วครับ และหลังจากนี้ก็ไม่สามารถเก็บภาพมาฝากเพื่อนๆได้เลยครับ เพราะมืดมาก
ตัดไปที่เสร็จการเดินทางในถ้ำเลยนะครับ ขึ้นจากเรือแล้ว เราพบว่าบริเวณหน้าถ้ำคึกคักมากกว่าตอนเช้ามากเลย มีกิจกรรมเสี่ยงโชคด้วย ผู้คนเริ่มแน่นครับ
คณะ เราย้อนกลับไปที่พัก อาบน้ำ เก็บของ กินข้าวกลางวัน ที่สาลาหินปูน แล้วออกเดินทางเข้าเมืองท่าแขกกันครับ คืนนี้เราจะพักที่เมืองท่าแขก
ก่อน จะเข้าเมืองท่าแขกไม่กี่กิโล. คณะเราแวะเข้าไปดูความคืบหน้าการสร้างสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งใหม่ ปัจจะบันกำลังก่อสร้างครับ ได้ข้อมูลจาก ตม.ไทยว่า คงอีกสัก 2 ปี จึงจะเสร็จ ก็ไม่รู้ว่าติดขัดอะไรนะครับ
คณะเราถึงเมืองท่าแขกประมาณ บ่าย 3 โมงกว่าๆ มีเวลาเหลือ จึงตกลงกันว่าไปไหว้พระธาตุศรีโคตรบูรณ์กันดีกว่า
ทางเข้าพระธาตุศรีโคตรบูรณ์ : N17.35048 E104.80990
พระธาตุศรีโคตรบูรณ์ : N17.34998 E104.80770
ทั้งนี้เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่คณะเรา
การรดน้ำของพี่น้องชาวลาวต่างไปจากบ้านเราครับ พระประธานในโบสถ์ เขาก็รถน้ำ สังเกตเห็นได้ว่าพื้นโบสถ์จะเปียกไปหมดเลย
ถ่ายรูปคู่กับผู้พิทักสันติราษฎร์ ไว้สักหน่อย
ถึงที่พักวันนี้แล้วครับ
ทาวเข้า ท่าแขก ทราเวิล ลอดจ์ : N17.39680 E104.82497
“ท่าแขก ทราเวิล ลอดจ์” อยู่ระหว่างตลาด กม. 2 กับ ตลาด กม.3 (ตลาดสุขสมบูรณ์)
บรรยากาศถนนหน้าที่พัก
เช้าของวันที่ 15 เมษายน 2553 ครับ เราตกลงกันไปกินมื้อเช้าที่ตลาดสุขสมบูรณ์ หรือ ตลาดหลัก 3 นั่นเอง
อาหารมื้อเช้าของผม
ขนส่งที่นี่เขาขนได้หลายรูปแบบจริงๆครับ
เราเจอแม่ค้าคนนึง นำเจ้านกต่างๆ มาขายครับ
ก็อดไม่ได้ที่จะทำบุญกันบ้าง คงได้บุญกันบ้างละนะ
แต่บางตัวก็โชคไม่ดีครับ
บางตัวก็โชคร้าย
ที่นี่เขาคงจะกินกันครับ
เสร็จจากมื้อเช้า ก็ออกเดินทางกันเลยครับ ที่หมายวันนี้ “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ”
เราออกจากเมืองท่าแขก ใช้เส้นทางหมายเลข 12 มุ่งหน้าแยกหนองจัน
เรา จะใช้เส้นทางหมายเลข 12 ไปทางตะวันออก ไปจนถึง “แยกหนองจัน” ด้วยระยะทางจากเมือท่าแขกประมาณ 125 กม. เราจะออกจากทางหมายเลข 12 กันละครับ และจากจุดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของถนนดิน หากใครไม่มั่นใจเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง ก็เติมเสียให้เรียบร้อย ณ แยกนี้นะครับ อันที่จริงเข้าไปข้างในก็มีครับ แต่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ น้ำมันแอ็ดซัง (เบ็นซิน) ถ้าเติมในเมืองจะลิตรละประมาณ 8 พันกว่ากีบ แต่ถ้าเข้าไปเติมในบัวละพา โดนลิตรละ 12,000 กีบ ทีเดียวครับ
สามแยกสาย 12 ตัดกับสาย 13 : N17.41137 E104.83110
แยกบ้านหนองจัน : N17.57113 E105.72239
จากแยกมหาไซ ถึงแยกหนองจัน
จากแยกหนองจันเข้าไปไม่นาน เราสวนทางกับขบวนรถบรรทุกรากไม้ขนาดใหญ่เป็นระยะ ทำให้เราอุ่นใจได้ว่า หนทางข้างหน้าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ต้องหลบให้พี่เขาหน่อย
เป็นรถจากเวียดนามครับ
เจอสะพานแรก ยาวมาก เลยต้องงมาดูซะหน่อย
สะพานแข็งแรงดีครับ
ขับมาได้พักใหญ่ เราก็มาถึงแม่น้ำเซบั้งไฟ ที่ไม่มีสะพานข้าม
รถบรรทุกไม้จอดพักกันอยู่หลายคัน
ลงไปสำรวจกันสักหน่อย
ว่าแล้วก็ลุยโลด จุดนี้ถ้าเป็นหน้าฝนคงขับรถข้ามไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีแพพารถข้ามน้ำหรือปล่าว
จุดข้ามน้ำเซบั้งไฟ : N17.40026 E105.73206
ด้วย ระยะทางประมาณ 35 กม. จากแยกหนองจัน มุ่งหน้าลงใต้ ก็จะพบ “สามแยกบัวละพา” ถึงสามแยกนี้ให้เลี้ยวซ้าย ไปประมาณ 2.8 กม. ก็จะถึงเมืองบัวละพาครับ
สามแยกบัวละพา : N17.31552 E105.72062
บรรยากาศถนนหน้าตลาดเมืองบัวละพาครับ
เที่ยงแล้ว คณะเราแวะกินข้าวกลางวันที่ร้านนี้ครับ
เป็น ร้านคนเวียดนามครับ คุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะแถบนี้เป็นบริเวณที่ติดกับประเทศเวียดนามแล้วครับ คนที่นี่จะไม่ค่อยคุ้นกับภาษาไทยมากนัก ร้านนี้น่าจะชื่อว่า “ร้านกินดื่ม” นะครับ
ร้านกินดื่ม : N17.30178 E105.76475
ก็ต้องของของเวียดนามซะหน่อย
โต๊ะเดียวในร้าน....
อาหารครับ
แวะตลาดเมืองบัวละพาซะหน่อย
อะไรเอ่ย
อันนี้ละ
อันนี้คงพอเดาออก
อันนี้น่ารักดีครับ ไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้ในงานแต่ง หรือให้กันวันวาเลนไทน์
การ จะเดินทางไปบ้านหนองปิง อันเป็นที่ตั้งของ “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ” ต้องออกไปทางด้านหลังเมืองครับ ในภาพนี้จะเห็นได้ว่า ถนนใน GPS เริ่มเชื่อถือไม่ได้แล้ว (ทข. หมายความว่า ทางเข้า ครับ)
ทางเข้าบ้านหนองปิง : N17.30535 E105.76756
อิ่มแล้วก็ไปกันเลยครับ “บ้านหนองปิง”
เส้น ทางช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ลำบากที่สุด ฤดูแล้งนี้ผมให้ 2 ดาว แต่ถ้าอยู่ในหน้าฝน คงขึ้นถึง 4 ดาวทีเดียว จากเมืองบัวละพา เดินทางต่อไปอีก 14 กม. ก็จะถึงบ้านหนองปิงครับ
ก่อน เข้าหมู่บ้านหนองปิง จะเจอสามแยกครับ ผมตั้งชื่อว่า “แยกถ้ำเซบั้งไฟ” จากแยกนี้ขับรถต่อไปอีก 1.3 กม. ก็จะสิ้นสุดทางรถ และต้องเดินเท้าต่อไปอีก 800 เมตร ก็จะถึงปากถ้ำครับ แต่เราจะยังไม่ไปวันนี้ครับ วันนี้ไปพบนายบ้านก่อนครับ
แยกเซบั้งไฟ : N17.36786 E105.82305
สุดทางรถยนต์ : N17.37244 E105.83273
บ้านพัก : N17.37003 E105.81948
โรงเรียนบ้านหนองปิง : N17.36927 E105.81891
พอเรามาถึง ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับมากมาย
เด็กๆในหมู่บ้าน
กำลังเจรจา ปรากฏว่านายบ้านไม่อยู่ จึงยังไม่ได้รายละเอียดมากนัก ทราบแต่ว่ามีบ้านพักให้นักท่องเที่ยวพักอยู่หลังนึง
คือ หลังนี้ละครับ เดิมทีบ้านนี้เป็นบ้านรับรองของผู้ใหญ่ในประเทศ ปัจจุบันไม่ได้ใช้รับรองแล้ว จึงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใช้งาน แต่วันที่เราไปบ้านอยู่ในสภาพทรุดโทรม ห้องน้ำไม่พร้อมใช้ แต่อย่างไรก็ดีชาวบ้านได้เสนอบริการพิเศษ ในการจัดทำความสะอาดและตักน้ำให้เต็มถังให้เรา ด้วยราคา 200,000 กีบ คณะเราตกลงกับขอเสนอนี้ ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นการกระจายรายได้ไปยังชาวบ้านโดยตรง
เด็กๆที่มาคอยดูพวกเรา
มวลชนสัมพันธ์
สัตว์เลี้ยง
ลูกสัตว์เลี้ยง
แม่น้ำเซบั้งไฟ ข้างๆหมู่บ้าน
อีกภาพ
อีกภาพนะ
แผนกบริการน้ำครับ
สมาชิกอีกกลุ่มที่มาใช้น้ำ
มี อีกเรื่องนึงที่เราไม่รู้คือ นักท่องเที่ยวที่จะเข้าเที่ยวถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ของทางการ ที่เมืองบัวละพาทราบเสียก่อน ก่อนเดินทางมาที่หนองปิง ไม่เช่นนั้นนายบ้านหนองปิงจะไม่อนุญาตให้เข้าถ้ำเนื่องจากยัเป็นพื้นที่ควบ คุมครับ คณะเราไม่ทราบข้อนี้จึงต้องส่งตัวแทนออกไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในเมืองบัวละพา ในที่สุดก็เรียบร้อยครับ
คณะเราทราบข้อมูลมาก่อนแล้วว่าต้องเตรียมอาหารมาให้พร้อม เพราะในหมู่บ้านหนองปิงไม่มีร้านค้าหรือร้านอาหาร เย็นวันนั้นก็ผ่านไปด้วยดี อากาศเย็นถึงเย็นมากจนต้องเอาเสื้อแขนยาวออกมาใส่ คณะเรานัดกับชาวบ้านที่ปากถ้ำในเวลา 08.00 น.
เช้า วันที่ 16 เมษายน 2553 เราตื่นกันแต่เช้า จัดการอาหารเช้าที่เตรียมกันมา และเตรียมอาหารเที่ยงไปพร้อมๆกันด้วย เมื่อพร้อมแล้ว คณะเราเก็บของขึ้นรถและนำรถไปจอด ณ จุดสุดทางรถยนต์ แล้วเดินเท้าต่อไปจนถึงปากถ้ำ
ปากถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ : N17.37255 E105.83843
ปากถ้ำ
นี่ก็ปากถ้ำ ก็ปากเดียวกันนั่นละครับ
เฟิร์นริมผนังถ้ำ
เรือ ที่จะพาเราเข้าถ้ำครับ “ถ้ำน้ำลอดเซบั้งไฟ” มีการจัดการที่คนละเรื่องกับ “ถ้ำน้ำลอดกองลอ” ที่นี่ยังจัดการกันแบบชาวบ้าน ว่ากันเองไปตามสภาพ ดังนั้นข้อมูลและวิธีการจึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นครั้งๆไป รวมถึงเรื่องราคาด้วยครับ
พักเหนื่อยกันก่อนลงเรือ เรือในครั้งนี้เป็นเรือพายครับ ที่ชาวบ้านต้องยกข้ามสันดอนหินปากถ้ำเข้ามาทีละลำ
เรือลำเล็กนิดเดียว
ลำ ผมนั่งกันครบ พ่อ แม่ ลูก ให้สังเกตุกราบเรือครับ ห่างจากน้ำไม่ถึง 2 นิ้ว เวลานั่งเรือต้องนิ่งครับ ไม่งั้นน้ำเข้าเรือ แถมเรือรั่วอีกต่างหาก เฮ้อ...
กำลังเข้าถ้ำครับ
เมื่อลึกเข้าไป แสงก็เริ่มน้อยลง เริ่มถ่ายรูปไม่ได้ ถ้ำนี้ไม่มีไฟฟ้าเลยครับ และไม่มีจุดลงเดินชมด้วยครับ
และแล้วก็มืดสนิท แสงสว่างมีเพียงแหล่งเดียวคือไฟฉายที่เรานำเข้าไป
“ถ้ำ น้ำลอดแซบั้งไฟ” มีความยาวตลอดประมาณ 9 กม. สามารถทะลุไปยัฝั่งเวียดนามได้ แต่เรือของชาวบ้านไปได้เพียง 1 กม. เท่านั้น เนื่องจากจะพบสันดอนหินวางถ้ำอยู่ การจะเดินทางต่อ ต้องยกเรือข้ามหินไปอีกฟากนึ่ง และจากนั้นต้องใช้เรือขนาดเล็ก สั้น เนื่องจากสภาพเส้นทางจะคดเคี้ยวและแคบ เรือไม้ที่มีขนาดยาวจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ และประการสำคัญ ชาวบ้านไม่เคยเข้าไปสำรวจด้านในเกินกว่าระยะสันดอนหินมาก่อน จึงไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าพาเข้าไป คณะเราจึงต้องหันหัวเรือกลับ แม้จะเข้าได้แค่ 1 กม. แต่ก็เป็นระยะทางที่สวยงามสมกับที่พยายามมาชมครับ
ถึงปากถ้ำแล้วครับ
เรือลำจิ๊ดเดียว
ความใหญ่โต หลังจากเราเดินเท้ากลับไปที่รถ ก็จัดการกับอาหารกลางวันที่เตรีมไว้ หลังจากนั้นก๊อกเดินทางกลับเมืองท่าแขกครับ
ไม่มีภาพมาให้เพื่อนๆชม จึงขอยืมรูปของ John Pollack เขามาละกันนะครับ
ภาพปากถ้ำ (ภาพโดย John Pollack)
มันคืออะไร (ภาพโดย John Pollack)
นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น (ภาพโดย John Pollack)
ภาพนี้สุดยอดครับ (ภาพโดย John Pollack)
ออก มาจากถ้ำแล้วก็จัดการกับอาหารเที่ยงที่ทำเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า อย่างเอร็ดอร่อย ขากลับนี้เราไม่เลี้ยวขวาที่แยกบัวละพา เพื่อกลับไปที่แยกหนองจัน แต่เราจะลองตรงไป เพื่อไปเมืองมหาไซ
ใน แผนที่กระดาษไม่มีเส้นทางนี้ แต่มีใน GPS เมื่อเราเดินทางมาถึง “แยก 001” เครื่องแนะนำให้ผมใช้เส้นทางด้านบน แต่ปรากฏว่าเส้นทางเส้นบนไปไม่ได้ ถนนจะพาเข้าหมู่บ้านและไปสุดที่ท้องนาของหมู่บ้าน คณะเราจึงต้องย้อนกลับเส้นทางเดิม กลับมาที่ “แยก 001” แล้วใช้เส้นทางลงใต้ แผนที่ GPS ในช่วงใช้การไม่ได้แล้วครับ แต่ยังดีที่ถนนในลาวมีเส้นทางน้อยมาก จึงสามารถเดาได้ว่าถนนเส้นนี้จะไปออกทีใดได้บ้าง ในที่สุดเราก็มาบรรจบกับถนนสาย 12 ที่ “แยกมหาไซ” (ผมตั้งชื่อให้เอง) เราใช้เวลาเดินทางออกจากบ้านหนองปิงจนมาถึงแยกมหาไซ ด้วยเวลา 5 ชั่วโมงเศษ เป็นการเดินทางที่ยาวนานจริงๆครับ
สามแยก 001 : N17.33574 E105.53814
สามแยก 002 : N17.28937 E105.28979
สามแยกมหาไซ : N17.45109 E105.15047
สภาพถนนบริเวณ “แยก 001”
น่าจะเป็นวัดนะครับ
ในหมู่บ้านที่เราหลงเข้าไป
คณะ เรากลับมาที่ท่าแขกก็ค่ำพอดี จัดการอาหารค่ำแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนกัน เนื่องจากเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว รุ่งเช้าของวันที่ 17 เมษายน 2553 อันเป็นวันสุดท้ายใน สปป.ลาว เราเก็บของขึ้นรถแล้ววนหาอาหารเช้ากันก่อน ก่อนจะข้ามฝั่งไปยังประเทศไทย สมาชิกชวนให้ชมอาคารบ้านเรือนย่านชุมชนเก่าแก่ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามทีเดียว
ตึกเก่า
หลัง จากอิ่มกับมื้อเช้ากันแล้ว คณะเราก็ไปจัดการเรื่องการข้ามแดน ขากลับไม่ยุ่งยากมมากนัก นอกจากต้องเสียค่าล่วงเวลา เพราะวันนี้ยังเป็นวันหยุดของทางฝั่งลาว ทาง ตม.คิดค่าล่วงเวลาคันละ 500 บาท ส่วนแพก็คิดค่าล่วงเวลา ทั้งคณะ 1000 บาท
รูปสุดท้ายของการรายงานครับ ขอบคุณที่ติดตามชมกันจนถึงตรงนี้
ภาพถ่ายข้างต้นเป็นฝีมือของผู้ร่วมทริปหลายคน คือ คุณกมลพันธ์ คุณเอก และคุณดำ (โม่) ซึ่งต้องขอขอบคุณ ไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ
ขอบคุณครับ
มดเขียว V003
www.vitara4x4.com