แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พิพิธภัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พิพิธภัณฑ์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์


อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ

ชื่อเมืองศรีเทพ ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกใน พ.ศ.2447 ในคราวที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์  สืบเนื่องจากทรงค้นพบชื่อนี้ในทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมือง และในสมุดดำซึ่งเป็นต้นร่างกะระยะทางให้คนไปแจ้งข่าวการสิ้นรัชการที่ 2 ตามหัวเมืองต่างๆ มีเส้นทางหนึ่งไปทางเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์ จึงตั้งสมมุติฐานว่า เมืองศรีเทพคงอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก ในคราวนั้นทรงสืบค้นพบว่า ศรีเทพ เป็นชื่อเดิมของเมืองวิเชียรบุรี ซึ่งเพิ่งจะมาเปลี่ยนชื่อในสมัยรัชการที่ 3 ทรงสันนิษฐานว่าชื่อเมืองศรีเทพที่วิเชียรบุรี มีต้นเค้ามาจากเมืองโบราณที่อยู่ทางใต้ลงมาราว 30 กิโลเมตร ซึ่งทางสำรวจพบวัตถุโบราณโบราณสถานต่างๆมากมาย จึงทรงเรียกเมืองโบราณแห่งนี้ว่า เมืองศรีเทพ นับได้ว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเรียกชื่อเมืองนี้ว่า เมืองศรีเทพ เป็นประองค์แรกและได้ใช้ชื่อนี้มาจนปัจจุบัน

เมืองศรีเทพ มีคูน้ำคันดินเป็นกำแพงเมืองล้อมรอบ พื้นที่ 2,889 ไร่ เมืองในมีเนื้อที่ประมาณ 1,300 ไร่ ลักษณะเป็นรูปเกือบกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีช่องประตูเมือง 6 ช่องทาง พื้นที่ภายในเป็นที่ราบลอนลูกคลื่น มีโบราณสถานราว 40 แห่ง มีสระน้ำและหนองน้ำกระจายอยู่ทั่วไป เมืองนอกมีเนื้อที่ประมาณ 1,589 ไร่ ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าต่อออกไปทางด้านทิศตะวันออกของเมืองใน พื้นที่เป็นที่ราบมีช่องประตูเมือง 6 ช่องทาง มีสระน้ำอยู่ทั่วไปและมีโบราณสถานราว 54 แห่ง ส่วนนอกเมืองโบราณมีโบราณสถานอยู่ทั่วไปราว 50 แห่ง

โบราณสถานที่สำคัญ

เขาคลังใน : เป็นศาสนสถานประเภทวัดพุทธศาสนา มีกำแพงศิลาล้อมรอบ ชื่อโบราณสถานมีที่มาจากความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่เชื่อว่าเป็นคลังเก็บสิ่งของมีค่า หรือคลังอาวุธในสมัยโบราณ

อาคารประธานเป็นอาคารในศิลปะแบบทวาราวดี เช่นเดียวกันกับโบราณสถานที่วัดโขลง เมืองคูบัว จังหวัดราชบุรี แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทิศตะวันออก ส่วนที่เหลืออยู่ทั้งหมดคือส่วนฐานก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน ภายในก่อทึบตัน ที่ส่วนล่างของฐานยังเหลือภาพปูนปั้นประดับลายก้านขด รูปสัตว์ และคนแคระแบก กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 14 ด้านหน้ามีบันไดทางขึ้นสู่ชั้นบน ซึ่งยังเหลือปูนฉาบเป็นลานกว้าง มีร่องรอยว่าเดิมอาจมีสถูปประดิษฐานอยู่ทางทิศตะวันตก และวิหารขนาดเล็กอยู่ด้านหน้า แต่ปัจจุบันพังทลายไปเกือบจะไม่เหลือร่องรอย ภายในบริเวณวัดยังมีเจดีย์ราย วิหาร และอาคารขนาดเล็กหลายแห่ง

ปรางค์ศรีเทพ : เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ปราสาทประธานเป็นแบบศิลปะเขมร ส่วนบนก่อด้วยอิฐฐานเป็นศิลาแลงฉาบปูน ตั้งอยู่บนลานดินที่ก่อรอบด้วยศาลาแลงเป็นฐานสี่เหลี่ยมยกพื้นสูง หันหน้าไปทางทิศตะวันตก สองข้างลานด้านหน้ามีบรรณาลัย 2 หลัง เป็นที่เก็บคัมภีร์ทางศาสนา ปัจจุบันเหลือเพียงฐาน มีทางเดินรูปกากบาทเรียกว่าสะพานนาค เชื่อมต่อระหว่างโคปุระหรือประตูทางเข้าด้านหน้า กับพื้นที่ส่วนล่างซึ่งมีทางเดินศิลาแลง และฐานอาคารประกอบพิธีกรรมอีกหลายแห่ง

จากการขุดค้นโบราณสถาน พบทวารบาลหินทรายสมัยบายน และชิ้นส่วนทับหลัง กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 นอกจากนี้ยังพบชิ้นส่วนกลีบขนุนที่ยังสลักไม่เสร็จ จึงสันนิษฐานว่าโบราณสถานแห่งนี้คงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดูในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 และได้รับการซ่อมแซมแปลงเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนามหายานตามความนิยมในช่วงสมัยบายนของเขมรในต้นพุทธศตวรรษที่ 18 แต่ยังไม่แล้วเสร็จ

ปรางค์สองพี่น้อง : เป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ปราสาทประธานเป็นแบบศิลปะเขมร ก่อด้วยอิฐ ฐานเป็นศิลาแลง ฉาบปูนทั้งองค์ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีปราสาทหลังเล็กที่สร้างเพิ่มขึ้นภายหลังตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อโบราณสถาน บริเวณหน้าปราสาทมีทางเดินและอาการประกอบพิธีกรรมต่างๆก่อด้วยศิลาแลงหลายหลัง ด้านหน้าสุดมีทางเดินรูปกากบาท และจากการขุดค้นโบราณสถานได้พบประติมากรรมรูปสุริยเทพ หรือพระอาทิตย์ ที่บริเวณทางเดินด้านนี้

การขุดค้นโบราณสถานพบทับหลังจำหลักรูป “อุมามเหศวร” ซึ่งปัจจุบันติดตั้งอยู่ที่ปราสาทหลังเล็ก มีลักษณะศิลปะแบบบาปวนนครวัด ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-17 และรูปเคารพได้แก้ โคนนทิ ฐานโยนี และศิวลึงค์ ถูกฝังไว้ในระดับใต้ฐานอาคาร จึงสันนิษฐานว่าแต่เดิมโบราณสถานแห่งนี้คงจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ในราวพุทธศตวรรษที่ 17 ต่อมาอาจเปลี่ยนแปลงเป็นศาสนสถานในศาสนาพุทธมหายาน เช่นเดียวกับปรางค์ศรีเทพ ในราวพุทธศตวรรษที่ 18 จึงได้มีการฝังรูปเคารพในศาสนาเดิมไว้ใต้ฐานอาคาร

อุทยานประวิติศาสตร์ศรีเทพ อยู่ในความดูแลของ สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม , มีวิทยากรนำชมอุทยานฯ บริการนำชมโบราณสถานรอบเมืองในด้วยรถไฟฟ้า

ที่ตั้ง : อยู่ในอำเภอศรีเทพ ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 107 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอวิเชียรบุรีประมาณ 25 กิโลเมตร นับจากสี่แยกทางหลวงหมายเลข 21 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 2211 (ก็คือสี่แยกวิเชียรบุรี ที่มีร้านไก่ย่างเยอะๆนั่นแหละครับ) มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกอีก 7 กิโลเมตร ก็จะถึงอุทยานประวิติศาสตร์ศรีเทพ

พิกัด :  ทางเข้าด้านศูนย์ข้อมูลฯ อุทยานประวิติศาสตร์ศรีเทพ (เมืองใน) N15.47403 E101.14639

ค่าธรรมเนียม : ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 100 บาท, เปิดบริการทุกวันระหว่าง 08.00 – 16.30 น.

ข้อมูล : จากแผ่นพับของ อุทยานประวิติศาสตร์ศรีเทพ สำนักศิลปากรที่ 4 ลพบุรี

ขอบคุณที่ติดตามชมครับ
นายทัศนาจร ออนไลน์

ปรางค์ศรีเทพ
เขาคลังใน

ปรางค์สองพี่น้อง

 

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี


ตั้งอยู่ที่ถนนปราจีนอนุสรณ์ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฯ จังหวัดปราจีนบุรี โทรศัพท์ 037-211-586 (หลังศาลากลางจังหวัดปราจีนบุรี ทางเข้าอยู่ติดกับศาลจังหวัดปราจีนบุรี) เวลาทำการ 09.00 น. ถึง 16.00 น. ทุกวันเว้น (ปิด) วันจันทร์ วันอังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 30 บาท

พิกัด N14.04684 E101.37304

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี เป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทประวัติศาสตร์โบราณคดีประจำภูมิภาคตะวันออก จัดตั้งขึ้นเพื่อจัดแสดงและรวบรวมศิลปะโบราณวัตถุ ซึ่งได้จากแหล่งโบราณคดีต่างๆในภาคตะวันออกและใกล้เคียง อาทิ ในเขตจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ตราด ระยอง และนครนายก ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณคดีในภาคตะวันออก เริ่มต้นตั้งแต่การเข้ามาตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ เมื่อประมาณหนึ่งหมื่นปีมาแล้ว เรื่อยมาจนกระทั่งพุทธศตวรรษที่ 20 โดยเน้นการจัดแสดงที่เมืองศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นสำคัญ

ครั้งนี้ผมชวนมาชมทับหลัง (LINTELS) เนื่องจากที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี มีทับหลังที่สวยงามและเก่าแก่อยู่หลายชิ้น ควรค่าแก่การชื่นชมและศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

ทับหลังมีอยู่ 2 ประเภท คือ ทับหลังจริงและทับหลังประดับ ทับหลังจริง คือ ส่วนบนกรอบประตู ทำหน้าที่รับและถ่ายน้ำหนักของส่วนบนของอาคาร ให้น้ำหนักนั้นเฉลี่ยและถ่ายลงบนกรอบด้านข้างของกรอบประตู มีความยาวเกินด้านของกรอบเสาประตูแนวตั้งออกมา และส่วนที่เกินนี้จะอยู่เข้าไปในผนังอาคาร

ทับหลังประดับ คือ แท่งหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สลักลวดลายประดับในรูปแบบต่างๆ โดยที่วางเกี่ยวอยู่บนส่วนหนึ่งของทับหลังจริง ความยาวของทับหลังประดับอาจยาวเกินกรอบประตูออกมาทั้งสองข้างเช่นเดียวกับทับหลังจริง ทับหลังประดับนี้จะวางประกบชนกับหินอีกชิ้นหนึ่งที่ทำเป็นวงโค้งถ่ายน้ำหนัก โดยที่ส่วนหน้าของทับหลังประดับ จะยื่นเกินกรอบประตูออกมา และส่วนที่ยื่นมานี้จะมีเสาประดับกรอบประตูค้ำอยู่บนผิวด้านนอกของทับหลังประดับ

ชิ้นที่ 1. ทับหลังปราสาทเขาน้อย ศิลปะเขมรแบบไพรกเมง อายุประมาณ พ.ศ.1180-1250

ทับหลังชิ้นนี้เป็นหนึ่งในจำนวนทับหลังแบบไพรกเมง 2 ชิ้น ที่พบ ณ ปราสาทเขาน้อย (ตั้งอยู่บนยอดเขาน้อยสีชมพู หมู่ 1 บ้านคลองน้ำใส ต.คลองน้ำใส อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว  ห่างจากพรมแดนไทย-กัมพูชา ประมาณ 1 ก.ม.) ลักษณะโดยรวมมีวงโค้งวงเดียวขนาดใหญ่ ที่ปลายม้วนเข้าภายใน บนวงโค้งประกอบด้วยวงกลมรูปเหรียญ 3 วง เบื้องล่างมีอุบะดอกไม้บานสลับดอกไม้ตูมและพวงมาลัย เป็นลักษณะของศิลปะไพรกเมง นอกจากนี้ยังมีเทวดานั่งท่าชันเข่าประคองอัญชลีแทนที่มกร (มกร หรือ เบญจลักษณ์ เป็นสัตว์ตามความเชื่อของพม่า ล้านนา สยาม และเขมร เรียกอีกอย่างว่าตัวสำรอก เนื่องจากในงานศิลปะ มกรมักจะคายหรือสำรอกเอาวัตถุใดๆ ออกมาทุกครั้ง เช่น มกรคายนาค (พญานาค)) ที่อยู่บนฐานที่ปลายวงโค้งทั้งสองด้าน เทวดานี้มีลักษณะแบบเทวดานั่งชันเข่าจากปราสาทวัดประหาร และเทวดาประนมอัญชลี จากปราสาทตวลบาเสท ประเทศกัมพูชา มาประกอบกัน แต่น่าสังเกตว่าเทวดาจากเขาน้อยมีเกศาขมวดก้นหอย ซึ่งเป็นลักษณะค่อนข้างแปลก ลายที่ประดับอยู่หน้าฐานที่รองรับเทวดาประกอบด้วยวงโค้ง 3 วง และดอกไม้บานก็ดูจะเป็นของที่ไม่พบในประเทศกัมพูชา ส่วนแถวลายใบไม้ม้วนที่เป็นแนวเชื่อมระหว่างฐาน 2 ข้างใต้ลายพวงอุบะนั้น เป็นลายที่พัฒนามาจากลายเดียวกันที่อยู่บนทับหลังแบบสมโบร์ไพกุก ชิ้นที่พบที่ปรางค์องค์กลางของปราสาทแห่งนี้

ชิ้นที่ 2. ทับหลังปราสาทเขาน้อย ศิลปะแบบสมโบร์ไพรกุก ตอนปลายร่วมต้นสมัยศิลปะไพรกเมง ราวปลายพุทธศตวรรษที่ 12

ทับหลังสองชิ้นนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก แต่ถ้าจะดูในรายละเอียดจะเห็นลักษณะที่แตกต่างกันไปบ้าง เป็นต้นว่าลายค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ที่ปากมกรแทนที่จะมีสิงห์โผล่ออกมาตามปรกติ กลับกลายเป็นหงส์แทน ภายในวงกลมรูปเหรียญแทนที่จะมีรูปช้างและม้า กลับการเป็นหงส์ทั้ง 3 วง โดยที่วงกลมตรงกลางหงส์จะหันหน้าตรง ส่วนวงข้างหงส์จะหันหัวเข้ามองเห็นด้านข้าง ใบไม้รอบวงรูปเหรียญมีลักษณะลายยืดออก ภายในวงโค้งประดับด้วยดอกไม้ 6 กลีบ ซึ่งลายดอกไม้ 6 กลีบนี้จะต่างกับลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนในวงโค้งของทับหลัง อีกชิ้นหนึ่งที่ปลายอุบะที่เสี้ยวมีลายดอกไม้ 5 กลีบ ที่มีลักษณะตามแบบศิลปะสมโบร์ ไพรกเมง สำหรับลายดอกไม้ 5 กลีบที่ปลายอุบะนี้ ยังคงทำตามประเพณีแบบสมโบร์ไพรกุก มากกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ปราจีนบุรี

ขอบคุณที่ติดตามชมครับ
นายทัศนาจร ออนไลน์






ทับหลัง ชิ้นที่ 1.




ทับหลัง ชิ้นที่ 2.



พระพุทธรูปนาคปรก ศิลปเขมรแบบบายน อายุประมาณ พ.ศ.1720-1773

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง
ภูมิปัญญาแห่งล้านนา

"อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง" หรือ "ไร่แม่ฟ้าหลวง" ตั้งอยู่เลขที่ 313 หมู่ 7 บ้านป่างิ้ว ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โทรศัพท์ 053-716-605 โทรสาร 053-712-429 mfl@doitung.org  www.maefahluang.org  พิกัดทางเข้า : N19.90771 E99.79600 สถานที่แห่งนี้อาจทำให้ท่านสับสนกับ "สวนแม่ฟ้าหลวง" ที่ตั้งอยูที่ พระตำหนักดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง นะครับ ขอเรียนว่าเป็นคนและแห่งกันครับ

อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง เริ่มต้นจากที่ดินหัวไร่ปลายนาธรรมดาผื่นหนึ่งในย่านชานเมืองจังหวัดเชียงราย แต่ด้วยพระบารมีของแม่ฟ้าหลวงและความร่วมมือร่วมใจของบุคคลต่าง ๆ หลายหน่วยหลายฝ่ายเพื่อตอบแทนพระเมตตากรุณาของพระองค์ท่าน สถานที่แห่งนี้จึงได้รับการพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ และได้รับรางวัล Thailand Tourism Award 2006 ประเภทรางวัลดีเด่นด้านแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะวัฒนธรรม

อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง เป็นสถานที่สงบ สวย สง่างาม ภูมิทัศน์ชอุ่มเขียวด้วยสนามหญ้าและสระน้ำใหญ่ ร่มรื่นด้วยต้นไม้จากภาคต่าง ๆ ของประเทศ และต้นลีลาวดีขนาดใหญ่นับร้อย กลางอุทยานเป็นที่ประดิษฐานพระรูปปูนปั้นของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประทับบนโขดหินให้ผู้มาเยือนได้สักการะ มีอาคารหลากหลายในแบบสถาปัตยกรรมล้านนาที่งดงาม เป็นที่เก็บรักษางานพุทธศิลป์เก่าแก่ โบราณวัตถุอายุนับศตวรรษ ศิลปะวัตถุสร้างสรรค์จากไม้สัก บรรยากาศในอุทยานรื่นรมย์ สร้างความสดชื่น เจริญใจ

หอคำ
สถาปัตยกรรมล้านนาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัดปงสนุก อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง รูปทรงอาคารสอบเข้าตามลักษณะเรือนล้านนาโบราณ หลับคาแป้นเกล็ด เป็นแผ่นไม้สักกว้างประมาณ 4 นิ้ว วางซ้อนเหลือมแทนแผ่นกระเบื้อง ลวดลายประดับได้มาจากจังหวัดอุตรดิตถ์ ช่างพื้นบ้านผู้ก่อสร้างจากจังหวัดเชียงรายและแพร่ ช่างแกะสลักจากเชียงใหม่และลำพูน ไม้นานาชนิดที่ใช้ก่อสร้างมาจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) รวมกับไม้จากบ้านเก่า 32 หลัง ในจังหวัดเชียงราย ชาวเชียงรายร่วมใจสร้างหอคำแห่งนี้ถวายเป็นเครื่องไหว้สาแม่ฟ้าหลวง ในโอกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เจริญพระชนมายุ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ.2527 (ค.ศ.1984)

ภายในหอคำแม่ฟ้าหลวง ประดิษฐานพระพร้าโต้ บนแท่นซึ่งเปรียบเสมือนยอดเขาพระสุเมรุ หอคำยังเป็นที่รวมศิลปะวัตถุงานพุทธศิลป์ มีทั้งพระพุทธรูปแบบล้านนา พม่า และเครื่องไม้แกะสลักที่ใช้ในการพระศาสนา เช่น สัตภัณฑ์ (เชิงเทียนไม้ประดับลวดลาย) ตุงกระด้าง (ตุงหรือธงไม้แกะสลัก) ขันดอก (ภาชนะใส่ดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ) บรรยากาศภายในหอคำแม่ฟ้าหลวง ขรึม ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยแสงเทียนและความงดงามของศิลปะวัตถุอันล้ำค่า

หอคำน้อย
อาคารศิลาแลงหลังคาแป้นเกล็ดไม้สัก เก็บรักษาภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนสีฝุ่นบนกระดานไม้สัก จากวัดเวียงต้า อำเภอลอง จังหวัดแพร่ สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในช่วงรัชการที่ 5 ช่างเขียนเป็นชาวไทลื้อจากเชียงตุง แสดงความเป็นอยู่ พิธีกรรม การแต่งกาย และวัฒนธรรมล้านนาเมื่อร้อยปีก่อน เช่น การแอ่วสาว การคลอดลูก ประเพณีการแข่งเรือ เป็นภาพยุคใกล้เคียงกับจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน ซึ่งเขียนสีบนผนังปูน ภาพเขียนสีฝุ่นบนพื้นไม้สักในหอคำน้อย จิตรกรรมโบราณเป็นสมบัติล้ำค่า ที่หลงเหลืออยู่เป็นส่วนน้อยได้นำมาเก็บรักษาไว้ ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

หอแก้ว
เป็นอาคารจัดแสดงนิทัศการถาวรเกี่ยวกับไม้สัก และนิทรรศการชั่วคราวอื่น ๆ ที่หมุนเวียนกันไป นิทรรศการเกี่ยวกับไม้สักแสดงให้เห็นถึงความผูกพันอันแนบแน่นของชาวเหนือที่มีต่อไม้สักในหลายมิติ เป็นเครื่องใช้ไม้สอยในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงงานศิลปะอันวิจิตรต่างๆ ที่นำมาใช้ในการพระศาสนา เริ่มจากตัวอาคารของวัดวาอาราม เครื่องตกแต่ง และเครื่องใช้ในพิธีกรรมต่างๆ จึงถึงองค์พระพุทธรูป

ศาลาแก้ว
ศาลาริมน้ำทรงล้านนา เป็นอาคารอเนกประสงค์ที่โอบล้อมด้วยน้ำ ฟ้า และธรรมชาติเขียวชอุ่มสบายตา

ขอขอบคุณที่ติดตามชมครับ
นายทัศนาจร ออนไลน์

ทางเข้าไร่แม่ฟ้าหลวง

หอคำระยะไกล

หอแก้ว

หอแก้ว

โครงหลังคาพระอุโบสถ

โครงหลังคาพระอุโบสถ

สมเด็จย่า แม่ฟ้าหลวง

นิทรรศนาการไม้สัก

ความรู้เรื่องวงปีของไม้สัก

ศิลปะจากไม้

งานศิลปะ

รถม้าที่ทำจากไม้สัก

เครื่องใช้ที่ทำด้วยไม้

ศิลปะไม้แกะสลัก

ตั้งแสดงให้ชมได้อย่างใกล้ชิด

ของเครื่องใช้ไม้ในห้องนอน

พระเจ้าไม้

พระพุทธรูปไทยใหญ่

ช่อฟ้า

นิทรรศการภาพถ่าย ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

หอคำด้านหลัง

สัตภัณฑ์

ศาลาริมน้ำหน้าหอคำ

หอคำ

ทางขึ้นหอคำ (ด้านในห้ามถ่ายภาพ)

คำขอขมา

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

โบราณสถานเมืองเพนียด

14 เมษายน 2554


บันทึกการเดินทางหน้านี้ผมชวนไปเที่ยวชมของโบราณที่ชื่อว่า "โบราณสถานเมืองเพนียด"  เป็นเมืองโบราณมีชื่อปรากฏในพงศาวดารมาแต่แรกสร้างกรุงศรีอยุธยา จากการสำรวจพบซากเมืองเก่าเมืองจันทบุรีอยู่ 2 แห่ง แห่งแรกตั้งอยู่ในตำบลตลาดจันทบุรีตะวันออก ซึ่งยังมีคูเมืองและเชิงเทินพอสังเกตได้ ส่วนอีกแห่งตั้งอยู่ในตำบลคลองนารายณ์ ชาวบ้านเรียกว่า "เมืองเพนียด" หรือ เมืองกาไวมีผู้ขุดพบศิลาจารึกที่วัดเพนียด ซึ่งเป็นวัดโบราณอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง 400 เมตร


โบราณสถานเมืองเพนียด ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลคลองนารายณ์ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ห่างจากวัดทองทั่วประมาณ 300 เมตร โดยกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478 ระบุไว้ว่ามีสิ่งสำคัญคือ กำแพงก่อด้วยศิลาแลง ด้านกว้าง 16 เมตร ด้านยาว 26 เมตร สูง 3 เมตร


สถานที่แห่งนี้สันนิษฐานว่าเดิมเป็นที่ตั้งเมืองจันทบุรียุคแรก มีอายุไม่น้อยกว่า 1,000 ปี การสำรวจสภาพของโบราณสถานเมืองเพนียด เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2499 ได้ความว่า เพนียดเป็นกำแพงก่อสร้างด้วยศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ในกำแพงเป็นดินกว้างด้านละ 17 เมตร ยาวด้านละ 57 เมตร หนา 3 เมตรเท่ากันทุกด้าน แต่กำแพงด้านตะวันออกถูกทำลายไปหมดแล้วเหลือแต่ดินสูงเป็นเค้าอยู่  อีก 3 ด้านก็ถูกทำลายไปมาก เหลือสูงเพียง 1 เมตร ถึง 3 เมตร ด้านนอกของกำแพงพอกด้วยดินหนาประมาณ 3 เมตร ถึง 8 เมตร โบราณสถานเมืองเพนียดมี 2 แห่ง อีกแห่งหนึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 30 เมตร แต่หลังนี้ถูกทำลายโดยการรื้อขนเอาศิลาแลงไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือให้เห็นมูลดินสูงเป็นแนวอยู่ซึ่งหากไม่ได้รับการบอกเล่าจากชาวบ้านแถบนั้นก็ไม่ทราบว่า คือ เพนียดโบราณ



บริเวณเมืองเพนียดมีเค้าถนนโบราณหลายสาย มีซากสิ่งก่อสร้างปรักหักพังอยู่ทั่วไป เช่น อิฐโบราณ ศิลาแลง เศษถ้วยชามโบราณ เป็นต้น โบราณวัตถุที่ขุดพบเป็นหินทรายแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ มีเหลืออยู่ที่วัดทองทั่วก็หลายชิ้น บางชิ้นถูกนำไปไว้ที่อื่น เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงเทพมหานคร


โบราณสถานเมืองเพนียด ตั้งอยู่ไม่ไกลกับวัดทองทั่ว ตำบลคลองนารายณ์ อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีพระพุทธสุวรรณมงคล ศากยมุนีศรีสรรเพ็ชญ์ (หลวงพ่อทอง) ประดิษฐานอยู่ หลวงพ่อทองเป็นพระพุทธรูปที่มีอายุเก่าแก่คู่มากับพระอุโบสถเดิม ตามหลักฐานวัดทองทั่วได้ตั้งวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2310 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ.2318 แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าหลวงพ่อทองสร้างขึ้นในช่วง พ.ศ.ใด แต่คงต้องอยู่ในระหว่าง 8 ปีนี้ เพราะจะต้องสร้างพระอุโบสถเรียบร้อยแล้วจึงจะขอพระราชทานวิสุงคามสีมาได้


ภายในวัดทองทั่วมีการจัดแสดงวัตถุโบราณ และมีทับหลังอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นที่น่าสนใจมาก คือ ทับหลังแบบถาราบริวัต (ถาลาบริวัต) ซึ่งมีอายุอยู่ในราว พ.ศ.1150 นางมิเรย เบนิสตี (Mireille Benisti) นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศษล่าวถึงทับหลังแบบถาลาบริวัต (Thala Borivat) ว่าเป็นทับหลังที่เก่าแก่ที่สุดของศิลปขอมในราวกลาง พุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งค้นพบทับหลังศิลา 6 ชิ้น ที่ถาลาบริวัต บริเวณฝั่งขวาของแม่โขง และพบที่ปราสาทขตป (Khtop) 2 ชิ้น  นางเบนิสตี เห็นว่าทับหลังซึ่งค้นพบที่ถาลาบริวัตเก่ากว่าที่สมโบร์ไพรกุก และถาลาบริวัตอาจเป็นสถานที่ตั้งของเมืองภวปุระของพระเจ้าภรวรมัน  สำหรับทับหลัง 2 ชิ้น ซึ่งค้นพบที่ปราสาทขตปนั้น นางเบนิสตีเห็นว่าคงสลักขึ้นในปลายศิลปแบบสมโบร์ไพรกุก ราว พ.ศ. 1200  


ในประเทศไทยได้ค้นพบทับหลังแบบถาลาบริวัต 4 ชิ้นที่วัดทองทั่ว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งนับว่าเป็นทับหลังขอมแบบถาลาบริวัตอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ยังได้ค้นพบศิลาจารึกขอมในพุทธศตวรรษที่ 12 หลักหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงการสร้างศาสนสถานของพระเจ้าอีศานวรมันที่ 1 พร้อมกันนี้ยังมีทับหลังอีกชิ้นหนึ่งซึ่งรักษาอยู่หน้าอุโบสถวัดสุปัฏนาราม จังหวัดอุบลราชธานี อาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างศิลปขอมแบบ ถาลาบริวัตและสมโบร์ไพรกุก และอาจสลักขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1150.




พิกัดทางเข้าโบราณสถานเมืองเพนียด - N12.58595 E102.14281
พิกัดโบราณสถานเมืองเพนียด - N12.58586 E102.14422
พิกัดวัดทองทั่ว - N12.58763 E102.14260

ขอขอบคุณที่ติดตามชมครับ
นายทัศนาจร ออนไลน์