ขอกล่าวคำทักทายด้วยคำในภาษาบาหลีว่า "Om
Swastyastu" (โอม สวัสเตียสะตู) ซึ่งแปลว่า
"สวัสดีตอนเช้า" หรือความหมายเดียวกันในภาษาอินโดนีเซียว่า "Selamat
Pagi" (เซอลามัต ปากี) ครับ และแน่นอนว่าทริปนี้เราไป "บาหลี" กันครับ เพื่อให้การท่องเที่ยวบาหลีอย่างออกรสมากยิ่งขึ้น จึงขอกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของบาหลีสักเล็กน้อยครับ
บาหลีเป็น 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย และเป็น 1 ใน 17,000 กว่าเกาะของประเทศอินโดนีเซีย (ใช่ครับอ่านไม่ผิด "หนึ่งหมื่นเจ็ดพันกว่าเกาะ") บาหลีตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา มีเมืองสำคัญคือ "เดนปาซาร์" (Denpasa) พื้นที่ทั้งหมด 5,634.40 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 3.5 ล้านคน ชาวบาหลีนับถือศาสนาฮินดู (93.19%), อิสลาม (4.79%), คริสต์ (1.38%), พุทธ (0.64%) ในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศอินโดนีเซียนับถือศาสนาอิสลามถึง 95% บาหลีจึงถือเป็นชุมชนฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย
บาหลีเป็น 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย และเป็น 1 ใน 17,000 กว่าเกาะของประเทศอินโดนีเซีย (ใช่ครับอ่านไม่ผิด "หนึ่งหมื่นเจ็ดพันกว่าเกาะ") บาหลีตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะชวา มีเมืองสำคัญคือ "เดนปาซาร์" (Denpasa) พื้นที่ทั้งหมด 5,634.40 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 3.5 ล้านคน ชาวบาหลีนับถือศาสนาฮินดู (93.19%), อิสลาม (4.79%), คริสต์ (1.38%), พุทธ (0.64%) ในขณะที่ประชาชนทั้งประเทศอินโดนีเซียนับถือศาสนาอิสลามถึง 95% บาหลีจึงถือเป็นชุมชนฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย
ย้อนหลังไปเมื่อประมาณศตวรรษที่ 7 พ่อค้าชาวอินเดียเป็นผู้ที่ได้นำศาสนาฮินดูเข้ามาเผยแพร่ในเกาะชวาเป็นครั้งแรก ต่อมาศตวรรษที่ 9 ศาสนาฮินดูได้เริ่มเผยแพร่เข้าไปในเกาะบาหลี จนกระทั้งในศตวรรษที่ 15 มุสลิมเริ่มมีอำนาจเหนือเกาะชวา ชาวฮินดูชั้นสูงจึงได้อพยพข้ามมายังเกาะบาหลี พร้อมทั้งได้นำเอาศิลปวัตถุ ช่างศิลป์ นาฏศิลป์ ติดตามเข้ามาด้วย การอพยพดังกล่าวดำเนินไปจนกระทั่งศตวรรษที่ 16 จึงสิ้นสุดลง การอพยพของชาวฮินดูดังกล่าวก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวบาหลีเป็นอย่างมาก
การยึดครองของฮอลันดา
นักล่าอณานิคมชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมายังบาหลี เมื่อ ค.ศ.1597
คือ ชาวฮอลันดา นำโดยกัปตันโกเลอนียึส เดอ เฮาต์มัน (Colenius de Houtman) ต่อมาในปี
ค.ศ.1846
ฮอลันดาได้อ้างการกู้เรือจมบริเวณชายฝั้งทางด้านเหนือใกล้กับเมืองสิงคราช (Singaraja)
ในปัจจุบัน เป็นข้ออ้างแล้วนำกำลังทหารเข้ายึดอาณาจักรบูเลเล็ง (Buleleng)
และเจ็มบรานา (Jembrana) ในขณะเดียวกันชนชั้นปกครองในบาหลีเริ่มแตกแยกและแบ่งออกเป็นอาณาจักรย่อยๆ
ฮอลันดา จึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลโดยใช้วิธีแบ่งแยกและปกครอง
ตีเอาอณาจักรจากทางตอนเหนือไล่ลงมาทางใต้
ฮอลันดาได้บุกเข้ามาถึงชานเมืองเดนปาซาร์ (Denpasar) เมื่อวันที่
20 กันยายน ค.ศ.1906
แล้วเริ่มยิงถล่มเมืองเดินปาซาร์ ฝ่ายบาดุงใช้นักรบพลีชีพที่เรียกว่า ปูปูตัน (Puputan)
ส่วนบรรดาเชื้อพระวงค์ทรงเผาพระราชวังและแต่งพระองค์เต็มพระยศพร้อมทรงกริช
ทรงดำเนินการร่วมรบพร้อมกับเหล่านักบวชและข้าราชบริพารเข้าต่อสู้กับฮอลันดา
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานฮอลันดาได้ แม้จะพ่ายแพ้แต่ฝ่ายบาดุงก็ไม่ยอมจำนน
กลับแทงตัวตายด้วยกริช เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชาวบาหลีเสียชีวิตประมาณ 4,000 คน
ในที่สุดฮอลันดาด้วยกำลังทหารที่เหนือกว่าได้เข้าควบคุมบาหลีทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจได้ทั้งหมดเมื่อราวปี
ค.ศ.1840 ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
โดยรวมบาหลีเข้าเป็นส่วนหนึงของอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (Dutch East
Indies)
สงครามโลกครั้งที่สองและการประกาศเอกราช
กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่หาดซานูร์
ในปี ค.ศ.1942
และได้ตั้งกองบัญชาการที่เมืองเดนปาซาร์และเมืองสิงคราช กองทัพญี่ปุ่นได้ขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปจากบาหลี แต่เมื่อญี่ปุ่นตกเป็นผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.1945
ฮอลันดาจึงต้องการกลับเข้ามายึดครองบาหลีอีกครั้ง แต่ถูกต่อต้านโดยขบวนการต่อต้านฮอลันดา ที่ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 17
สิงหาคม ค.ศ.1945 โดยนายซูการ์โน (Soekarno) ซึ่งได้ถือโอกาสประกาศเอกราชแก่ดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การยึดครองของฮอลันดาทั้งหมด และก่อตั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียขึ้น
แต่ฝ่ายฮอลันดาปฏิเสธไม่ให้การรับรอง จึงเกิดขบวนการต่อต้านฮอลันดาในบาหลีขึ้น โดยใช้ชื่อว่า เต็นตรา เกอะอะมานัน
รัคยัต (Tentra Keamanan Rakyat) หรือกองกำลังความมั่นคงแห่งประชาชน (People's
Security Force) ลุกฮือขึ้นต่อต้านฮอลันดาที่เมืองมาร์กา (Marga)
เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1946
นำโดยอิ กุสตี งูระห์ ไร (I Gusti Ngurah Rai) เป็นการต่อสู้เพื่อพลีชีพของนักรบหรือปูปูตันอีกครั้ง
ในที่สุดฮอลันดายอมประกาศรับรองเอกราชของอินโดนีเซีย เมื่อปี ค.ศ.1949 บาหลีจึงเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียนับจากนั้นเป็นต้นมา
(ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org และหนังสือมนตราบาหลี)
ทริปนี้สมาชิกประกอบด้วย บ้านบางพลี (5) บ้านสาทร (3) บ้านท่าข้าม (3) รวมทั้งหมด 11 ชีวิต สำหรับบ้านสาทรและบ้านท่าข้ามเดินทางระหว่างวันที่ 25 ถึง
29 ธันวาคม 2558 ส่วนบ้านบางพลีออกเดินทางไปด้วยกันจนจบทริปบาหลี แล้วจะเลยไปปีนภูเขาไฟ "โบรโม่" ต่อ ซึ่งอยู่ที่เกาะชวาตะวันออกลงไปทางใต้ของเมืองสุราบายา จึงขยายทริปข้ามปีไปถึงวันที่ 2 มกราคม 2559
โชว์ตัวผู้ใหญ่บ้าน (บ้านสาทร-บ้านบางพลี-บ้านท่าข้าม) |
ปรากฏว่าธรรมชาติพิจารณาแล้ว ยังไม่อนุญาตให้บ้านบางพลีเข้าเยี่ยมชมโบรโม่ โบรโม่เป็นภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตยังไม่ดับ แต่ก็นิ่งเงียบสงบมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2553 อยู่ๆกลับปะทุขึ้นอีกครั้งก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินทางไปไม่กี่สัปดาห์ และในที่สุดก็ได้รับการยืนยันก่อนการเดินทางไม่กี่วันจากคุณแหม่มว่า ไม่สามารถเดินทางไปโบรโม่ได้ จึงทำให้บ้านบางพลีต้องเปลี่ยนที่หมายไปปีนภูเขาไฟดมกลิ่นกำมะถันที่ "คาวาอีเจี้ยน" แทน ข่าวภูเขาไฟที่โบรโม่ คลิก
ภาพข่าวจากไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2558 |
ก่อนออกเดินทางคุณแหม่มได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์มาก ๆ แก่พวกเรา จึงขออนุญาตนำมาแบ่งปันเป็นข้อมูลไว้ดังนี้
เรื่องควรรู้ก่อนเที่ยวบาหลี (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2558)
วีซ่า
• สำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อเข้าบาหลี
ใช้เพียงหนังสือเดินทางที่มีอายุเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ก็สามารถเดินทางได้ทันที และไม่ต้องเสียค่าวีซ่าใดๆ เมื่อมาถึง
หน่วยเงิน
• หน่วยเงินของบาหลีและอินโดนีเซียเป็น รูเปียห์ (Rupiah) สามารถนำเงินไทยมาแลก
แต่ขอแนะนำให้ถือเงินสกุลดอลล่าห์สหรัฐมาแลกจะได้เรทที่ดีกว่า คือ 1
เหรียญสหรัฐฯ จะแลกได้ 13,000 รูเปียห์ (เรทวันที่ 20 ตุลาคม 2015) หรือหากเทียบแล้ว 1 บาท เท่ากับ 360 รูเปียห์
• ธนบัตรมีมูลค่า
1,000, 2,000, 5,000,
10,000, 20,000, 50,000, และ 100,000 รูเปียห์
ส่วนเหรียญมีมูลค่า 25, 50, 100, 500, และ 1,000 รูเปียห์ อย่างไรก็ดี อัตราแลกเปลี่ยนเงินรูเปียห์นั้นผกผันได้อย่างมาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในประเทศอินโดนีเซีย
ควรตรวจสอบอีกครั้งก่อนการเดินทาง
• บัตรเคดิตเป็นที่ยอมรับทั่วไปของร้านค้า โรงแรม
และภัตตาคารในย่านแหล่งท่องเที่ยว บัตรเครดิตที่รับคือ วีซ่ามาสเตอร์การ์ด
และอเมริกัน เอ็กเพรส แต่บางร้านอาจจะชาร์ท 3 % สำหรับการใช้บัตร
ท่านควรจะถามร้านค้าก่อนตัดสินใจจ่ายบัตรเครดิต
การติดต่อสื่อสาร
• โทรศัพท์ โทรศัพท์สาธารณะในบาหลีมีบริการในบริเวณที่เป็นแหล่งความเจริญและแหล่งท่องเที่ยว
มีบริการทั้งแบบหยอดเหรียญและแบบใช้บัตรโทรศัพท์ ส่วนค่าโทรศัพท์กลับมาเมืองไทยจะตกอยู่ในราวนาทีละ
35 บาท (หมุน 001+66+หมายเลขที่ต้องการ) แต่ถ้าต้องการโทรศัพท์ในราคาพิเศษ ขอแนะนำให้ท่านซื้อซิมการ์ดยี่ห้อ Simpatic ซึ่งราคาประมาณ
20,000 รูเปียห์ และในซิมจะมีเงินไว้ให้อยู่แล้ว 5,000
รูเปียห์ ท่านต้องให้พนักงานทำการ Register ให้ท่าน ก่อนจะนำซิมมาใส่เครื่องท่าน และสามารถให้ทางร้านเติมเงินให้ท่าน
มีตั้งแต่ราคา 10,000 20,000 50,000 100,000 รูเปียห์
เวลาโทรกลับเมืองไทย กดรหัสพิเศษดังนี้
01017 + 66 + หมายเลขที่ต้องการ (ตัด 0 ออก) โทรกลับเมืองไทยตกนาทีละ 3.50 บาท
• ซิมการ์ดรวมแพคเก็จอินเตอร์เน็ต ขอแนะนำให้ท่านซื้อซิมการ์ดยี่ห้อ Simpatic ซึ่งราคารวมค่าซิมและแพคเก็จอินเตอร์เน็ต คือ 100,000 รูเปียห์ ไม่สามารถซื้อเตรียมไว้ท่านได้
เนื่องจากทางร้านจะเป็นผู้ทำการเปิดใช้ซิมให้กับท่าน
และสามารถตัดขนาดซิมให้ท่านตามลักษณะของเครื่องมือถือที่ท่านใช้ไม่ว่าจะเป็น Iphone 4 หรือ Iphone
5 ท่านสามารถแจ้งกับคนขับหรือไกด์ของท่านให้พาไปซื้อซิมได้เมื่อมาถึงบาหลี
• หมายเลขโทรศัพท์สำคัญที่ควรรู้
เบอร์แหม่มบาหลี เบอร์ 081337750593
เบอร์แหม่มบาหลี เบอร์ 081337750593
รถพยาบาล
118
ดับเพลิง 113
ตำรวจ 110
ดับเพลิง 113
ตำรวจ 110
• ไปรษณีย์ ที่ทำการไปรษณีย์เปิดทำการวันจันทร์-เสาร์
โดยวันจันทร์-พฤหัสบดี เปิดเวลา 8.00-14.00 น. วันศุกร์ 8.00-11.00
น. และวันเสาร์ 8.00-12.30 น. การส่งโปสการ์ดกลับเมืองไทย
ติดแสตมป์ 7,000 รูเปียห์
•
ธนาคาร/บัตรเครดิต
-วีซ่า 226578
-มาสเตอร์การ์ด 222652
-อเมริกัน เอ็กเพรส 288511ต่อ111 หรือ 773334
-วีซ่า 226578
-มาสเตอร์การ์ด 222652
-อเมริกัน เอ็กเพรส 288511ต่อ111 หรือ 773334
ไฟฟ้า
• กระแสไฟฟ้าที่บาหลีใช้คือ
220-240 โวลต์ ดังนั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นำไปจากประเทศไทยสามารถนำไปใช้ได้และ
Adapter ที่ควรเตียมมานั้นต้องสามารถเสียบกับปลั๊กไฟเป็นแบบหัวกลมสองตา แนบรูปมาให้แล้วค่ะ
เวลา
• เวลาของบาหลีเร็วกว่าประเทศไทย
1 ชั่วโมง เช่น เมื่อท่านลงเครื่องที่สนามบินบาหลีเวลา 11.30 น. เมืองไทยคือ 10.30 น.
เวลาทำงานและประกอบกิจการ
• เวลาเปิด-ปิดของสถานที่ต่างๆ จะไม่ตรงกันหากเป็นสำนักงานทั่วไป
เช่น สายการบินจะเปิดวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00-16.00 น. และมีเวลาหยุดพักกลางวันต่างๆ กันไป ธนาคารจะเปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.00-15.00
น.
• ร้านค้าทั่วไปเปิดประมาณ 10.00-20.00 น.
หรืออาจเลยไปถึง 22.00 น.
• ส่วนสถานที่ราชการจะเปิดทำการวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 8.00-15.00
น. วันศุกร์ 8.00-11.30 น. และวันเสาร์ 8.00-12.00
น.
การแต่งตัวของนักท่องเที่ยวเมื่อไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
• แนะนำให้ท่านแต่งตัวด้วยผ้าฝ้ายแบบสบายๆ เพราะอากาศที่บาหลีนั้นค่อนข้างร้อนชื้น สามารถใส่ได้ทั้งขาสั้นและขายาว
รองเท้าที่ใส่สบาย ไม่ควรเป็นส้นสูง เพราะมีการเดินขึ้นที่สูงด้วย อาจจะไม่สะดวก
อาจจะเป็นรองเท้าแตะก็ได้
• สำหรับการสวมใส่โสร่งนั้นส่วนใหญ่วัดตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่เราเข้าไปถึงด้านในดังเช่น
Pura Uluwatu, Pura Tirta Empul, Pura Kunung Kawi, Pura
Goa Gajah จะมีโสร่งจัดเตรียมไว้ให้เป็นการบริการ
ยกเว้น Pura Besakih ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องจัดเตรียมไปเอง
หากใช้บริการแพคเก็จของทางเรา ไกด์จะเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้ค่ะ
สภาพอากาศ
• อากาศที่บาหลีจะร้อนชื้นตลอดทั้งปี (24 – 30 องศาเซลเซียส)
สินค้าที่น่าซื้อ
• เครื่องไม้แกะสลัก ผ้าโสร่ง เครื่องเงิน ผ้าบาติก กระเป๋าสาน
และสินค้าพื้นเมืองอื่นๆ
มารยาทในสถานที่ต่างๆ
• ชาวบาหลีถือเรื่องศีรษะเหมือนคนไทยว่าเป็นของสูง
ดังนั้นการส่งของข้ามศีรษะจึงเป็นสิ่งไม่สมควร
การแลกเงิน
• แลกเงินบาทจากเมืองไทยเป็นเงินสกุลดอลล่าห์สหรัฐ
และนำเงินสกุลดอลล่าห์มาแลกเป็นรูเปียห์ที่บาหลีจะได้เรทที่ดีกว่านำเงินไทยมาแลกค่ะ
หากแลกในสนามบินจะได้เรทต่ำ กว่าด้านนอกประมาณ 200-300 รูเปียห์ค่ะ
แนะนำว่าให้ท่านแลกด้านนอกสนามบินจะดีกว่า
โดยคนขับหรือไกด์ของท่านสามารถพาท่านไปแลกร้านที่เรทดี และถูกต้องตามกฎหมาย มีใบเสร็จรับเงิน อย่าเข้าไปแลกร้านเล็กที่ให้เรทดีกว่าปกติ
เพราะท่านอาจเจอกลโกงต่างๆที่คาดไม่ถึงได้ค่ะ
ข้อควรระวังเบื้องต้นที่สนามบิน
1.ขอให้ท่านตรวจดูวันหมดอายุในพาสปอร์ตของท่านว่ายังคงมีอายุมากกว่า 6 เดือนนับจากวันที่ท่านเดินทางมาถึงบาหลีมิฉะนั้นทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะปฎิเสธการเดินทางเข้ามายังบาหลีของท่านค่ะ
2. ขณะที่ท่านรอรับกระเป๋าที่สนามบินบาหลี
อาจจะมีพนักงานขนกระเป๋าในสนามบินเสนอตัวมาช่วยท่านขนกระเป๋าหากไม่ต้องการขอให้ปฎิเสธโดยตรง
เพราะหากท่านปล่อยให้พนักงานขนกระเป๋าช่วยท่านขนกระเป๋าแล้ว เขาจะคิดค่าบริการท่าน
สำหรับค่าบริการตามระเบียบของสนามบินคือท่านสามารถให้ได้ใบละ 5,000 รูเปียห์ หากเขาเรียกร้องมากกว่านั้น ท่านสามารถปฏิเสธได้ค่ะ
3. บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมือง
และด่านศุลกากร ตอนตรวจเช็คสัมภาระ กรุณาอย่าถ่ายรูปเพราะมีข้อห้ามไว้บริเวณนั้น
ข้อให้ท่านระวังในการใช้กล้องถ่ายรูป
เจ้าหน้าที่ด่านอาจเดินมาห้ามท่านและนำท่านไปเสียค่าปรับได้ค่ะ
ขอบคุณคำแนะนำจากคุณแหม่มบาหลี
ขอบคุณคำแนะนำจากคุณแหม่มบาหลี
ได้ทราบคำแนะนำดีๆจากคุณแหม่มกันไปแล้ว แต่ก่อนออกเดินทางผมขอเล่าเรื่องความเชื่อพื้นฐานของชาวบาหลีสักเล็กน้อย เพื่อความเข้าใจไปในทางเดียวกันครับ
ชาวบาหลีส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูที่เรียกว่า "ฮินดูธรรม" (Hindu Dharma) ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างศาสนาพุทธที่แพร่หลายอยู่ก่อนแล้วกับศาสนาฮินดูที่นับถือพระศิวะเป็นใหญ่ มีหลักปฏิบัติจากปรัชญาอินเดียรวมกับความเชื่อของคนในท้องถิ่น ฮินดูที่บาหลีจึงมีความแตกต่างไปมากกับฮินดูที่อินเดีย กล่าวคือ เป็นฮินดูแบบบาหลี
ชาวบาหลีเชื่อว่าธรรมชาติมีพลังและจิตวิญญาณ สรรพสิ่งรอบกายล้วนมีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเล แม่น้ำ ท้องฟ้า เป็นต้น จักรวาลเป็นองค์รวมของทุกสิ่ง ทั้งปวงเทพ มนุยษ์ และปีศาจ ต่างเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
ปวงเทพ จะได้รับการถวายเครื่องสักการะบูชาที่ทำขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง เพื่อแสดงความขอบคุณถึงความกรุณาที่ปวงเทพมีต่อมนุษย์ หากละเลยจะถูกลงโทษ จะเกิดภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว โรคระบาด เครื่องสักการะบูชาสำหรับเทพเจ้า จะนำไปบริโภคต่อหลังจากถวายแก่ปวงเทพแล้ว
ส่วนปีศาจ ก็จะได้รับเครื่องบูชาเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์ถูกรังควาน แต่เครื่องบูชาปีศาจ ซึ่งจะวางอยู่ตามพื้น จะถูกนำไปทิ้งไม่นำไปบริโภค เดินเที่ยวให้ระวังอย่าไปเหยียบเอา
ด้วยความเชื่อในเรื่องของเทพเจ้านี่เอง บาหลีจึงมีวัดกระจัดกระจายอยู่นับพันวัด มีทั้งวัดขนาดใหญ่ วัดประจำชุมชน และยังมี “วัดในบ้าน” ซึ่งใช้เป็นสถานที่สักการะบูชาเทพเจ้า เพื่อให้ช่วยปกป้องรักษาและคุ้มครองคนในบ้านให้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
เอาละครับเกริ่นมาเสียยกใหญ่ถึงเวลาออกเดินทางกันละครับ อ้ออีกนิดนึงครับ เตรียมตัวแปลงปลั๊กไฟไปให้พร้อมด้วยนะครับ ที่อินโดนีเซียใช้ปลั๊กแบบขากลมครับ
วัดในบ้านจะมีความอลังการแตกต่างกันไปตามกำลังทรัพย์ครับ |
เอาละครับเกริ่นมาเสียยกใหญ่ถึงเวลาออกเดินทางกันละครับ อ้ออีกนิดนึงครับ เตรียมตัวแปลงปลั๊กไฟไปให้พร้อมด้วยนะครับ ที่อินโดนีเซียใช้ปลั๊กแบบขากลมครับ
อากาศปลอดโปร่ง |
เตรียมหมอนรองคอมาเองเลย |
เพียงงีบนึงก็ถึงแล้ว |
เงียบสงบดีจัง |
Gate 21 ที่ป้ายมีบอกพิกัด GPS ด้วย |
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าๆ เที่ยวบิน FD-396 ก็ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติ งูระห์ไร (Ngurah Rai International Airport) (IATA: DPS, ICAO: WADD) หรือที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ท่าอากาศยานนานาชาติเดนปาซาร์ (Denpasar International Airport) สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะบาหลี ห่างจากเดนปาซาร์ไปทางใต้ 13 กิโลเมตร สนามบินแห่งนี้ตั้งชื่อตาม I Gusti Ngurah Rai ซึ่งเป็นวีรบุรุษอินโดนีเซียที่เสียชีวิตใน Battle of Marga ระหว่างการปฏิวัติอินโดนีเซีย ดังที่ได้กล่าวมาตอนต้นครับ
แวะเข้าห้องน้ำกันก่อน ตม. จะอยู่สุดทางเดินโน้น |
เสร็จจาก ตม. ก็มารอสัมภาระ |
พาเรามาโดย AirAsia |
ถ่ายรูปหมู่รูปแรกที่หน้าสนามบินกันหน่อย !!! อย่าลืมนะครับ เข็นประเป๋าเอง ถ้าให้พนักงานเข็นให้ ต้องเสียค่าบริการ 5,000 รูเปียห์ |
คนอื่นเขาไป MPV กัน แต่เราไปรถบัส 25 ที่นั่ง |
ถึงขนาดนั่งกันคนละแถวกันเลย |
ถนนในบาหลีค่อนข้างเล็ก ถ้าขับรถเองต้องระวังให้มาก แต่ขับชิดซ้ายเหมือนบ้านเรา |
ชมวิวกันไปก่อน แต่ชักหิวแล้วซิ |
ออกจากสนามบินก็เที่ยงกว่าแล้ว คุณแหม่มก็จัดอาหารจีนเป็นมื้อแรกให้พวกเราทันที |
อร่อยถูกปากทีเดียว เห็นคุณแหม่มแว๊บๆด้วย |
ผลไม้ปิดรายการมื้อเที่ยง ตกแต่งได้วิจิตรมาก |
สิ่งที่ขาดไม่ได้เสียแล้วในการเดินทาง คือ การสื่อสาร ซิมนี้ใช้โทรก็ได้ อินเตอร์เน็ตก็ได้ สะดวกมาในการติดต่อกันในขณะที่อยู่บาหลี |
รายการแรกของวันแรกคือ : สวนพระวิษณุ หรือ Garuda Wisnu Kencana Cultural Park หรือ GWK Cultural Park ( Website , Map )
สวนพระวิษณุแห่งนี้ผู้สร้างตั้งใจให้เป็นสวนวัฒนธรรมของบาหลี โดยวางแผนไว้ว่าจะสร้างรูปจำลองของพระวิษณุทรงครุฑ (Garuda) ที่มีขนาดใหญ่โตมาก จะมีความสูงถึง 120 เมตร ปีกของครุฑจะกว้างถึง 64 เมตร ทีเดียว
ทางเข้า GWK Cultural Park |
เนื่องจากรถเราไปด้วยรถบัส จึงต้องจอดที่ลานจอดรถข้างล่าง แล้วขึ้นรถของ Park ไปทางเข้า |
จากทางเข้าเดินตามทางไปเรื่อยๆ จะผ่านสระน้ำแห่่งนี้ ก่อนขึ้นบันไดไปชมพระวิษณุ |
รูปจำลองพระวิษณุทรงครุฑ ที่เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีลักษณะเป็นแบบนี้ |
พระวิษณุที่ยังสร้างไม่เสร็จ |
ขนาดใหญ่โตมาก |
ส่วนหัวของครุฑที่ยังสร้างไม่เสร็จเช่นกัน |
นี่แค่หัวนะ |
น่าเกรงขาม |
สร้างแล้วถอดออกนำไปประกอบใหม่ |
ถ่ายรูปหมู่อีกครั้ง คนตัวเล็กไปเลย |
ระยะไกล |
พระวิษณุจะทรงครุฑอยู่บนสิ่งก่อสร้างไกลๆโน้น |
ถ้าเสร็จแล้วคงจะอลังการมาก |
รายการที่สอง : วัดอูลูวาตู (ULUWATU) Website , Map
วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 11 เพื่อถวายแด่ทวยเทพแห่งท้องทะเล ปัจจุบันยังใช้เป็นสถานที่ทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าและจัดพิธีกรรมทางศาสนาอยู่
อาหารเย็นของวันแรก เป็นอาหารซีฟู๊ดที่ร้าน Pandan Sari Cafe ริมหาด Jimbalan
(Website , Map)
วัดอูลูวาตู |
ทางเข้าร่มรื่นดี |
มีลิงเจ้าถิ่นหลายตัว นักท่องเที่ยวต้องระวังทรัพย์สินให้ดี |
เห็นลูกตัวน้อยไหมครับ |
ทางเดินไปวัดเลาะริมหน้าผาทิวทัศน์สวยงาม |
สวย... |
วัดชั้นในเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ เข้าได้เฉพาะผู้ที่มาสักการะเท่านั้น นักท่องเที่ยวห้ามเข้า |
ครอบครัวชาวบาหลี มาทำบุญสักการะเทพเจ้า |
กระทงสี่เหลี่ยม พบเห็นได้ทั่วไปตามทางเดิน ชนิดนี้เป็นเครื่องบูชาภูติผีปีศาจ |
วัดตั้งอยู่สุดปลายหน้าผาหินสูงชัน มุมถ่ายรูปมหาชน |
อาหารเย็นของวันแรก เป็นอาหารซีฟู๊ดที่ร้าน Pandan Sari Cafe ริมหาด Jimbalan
(Website , Map)
ร้านอาหารริมหาด Jimbalan จะเรียงกันอยู่ในซอยนี้ มีที่จอดรถเป็นสัดส่วนดีครับ |
หน้าร้านจะเป็นที่ทำอาหาร อบอวลไปด้วยควัน ลูกค้าจะต้องเดินเข้าทางหน้าร้าน ทะลุไปหลังร้านที่เป็นชายหาด |
ควันที่เห็นเกิดจากการเผาอาหารทะเลที่หน้าร้านครับ |
มาถึงก็มืดเสียแล้ว ก็เลยไม่ได้ชมชายหาด Jinbalan ยามเย็น มื้อนี้อาหารเย็นเคล้าแสงเทียน8iy[ |
ปิดท้ายวันนี้ด้วย Bintang สักหน่อยครับ |
เสร็จจากอาหารเย็นแล้ว เราต้องเดินทางต่อไปยังเมืองเดนปาซา ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง วันนี้เราเข้าพักกันที่ Inata Monkey Forest Hotel
(พิกัด -8.514450, 115.260727) Website , Map
กว่าจะมาถึงโรงแรมก็มืดแล้ว ชาวคณะอ่อนล้าหมดแรงกันไปตามกัน ไม่ได้ถ่ายรูปที่พักไว้เลยครับ ขอเข้าห้องพักก่อนนะครับ แล้วพบกันวันพรุ่งนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ ^_^
นายทัศนาจร ออนไลน์
นายทัศนาจร ออนไลน์