ภาพครุฑยุดนาค ที่เคยอยู่หน้าสะพานนาค หน้าโคปุระทิศตะวันออก |
“ปราสาทบันทายฉมาร์” หรือ "บันเตียฉมาร์" (Banteay Chhmar)
แต่เดิมในวัยเรียน “วิชาประวัติศาสตร์” เป็นยาขมสำหรับผมอยู่ไม่น้อย ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว และไม่มีความอยากรู้อยากเห็นด้วยตัวของตัวเอง มาถึงวันนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าวิชาประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่สนุกและให้จินตนาการอย่างมาก เอาละทิ้งเรื่องวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนไว้แค่นี้ก่อนแล้วกันครับ บทความนี้ผมมาชวนทุกท่านย้อนกลับไปในอดีตกาล กลับไปในช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์ พ.ศ.1724-1762) อันเป็นยุดที่ถือว่าเป็นยุดทองของศิลปขอมทีเดียว กล่าวให้เจาะจงลงไปแล้วบทความนี้ผมมาชวนไปชม “ปราสาทบันทายฉมาร์” ครับ
“ปราสาทบันทายฉมาร์” ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่ออุทิศให้แก่โอรสของพระองค์ และแม่ทัพคนสำคัญที่เคยร่วมรบกับเจ้าชาย ในการปราบกบฎภรตราหู และในสงครามที่รบกับพวกจาม ปัจจุบันปราสาทตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชา ในเขตจังหวัดบันเตียเมียนเจย (บันทายมีชัย) ซึ่งแยกตัวออกมาจากจังหวัดเสียมเรียบ (เสียมราบ/เสียมราฐ) ห่างจากเมืองศรีโสภณไปตามเส้นทางถนนทางทิศเหนือประมาณ 63 กม. ทริปนี้ผมเลือกเดินทางแบบผสมผสาน โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯด้วยรถยนต์ส่วนตัว แล้วนำไปฝากจอดไว้ที่บริษัททัวร์ท้องถิ่นในบริเวณตลาดชายแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แล้วเดินข้ามแดนไปประเทศกัมพูชา ผ่านทางด่านฯคลองลึก ไปสู่เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา เพื่อต่อรถบัสขนาดกลางที่สถานีขนส่งปอยเปตไปยัง “ปราสาทบันทายฉมาร์” อีกต่อหนึ่ง ทริปนี้ผมไม่ได้ขับรถข้ามแดนไปเหมือนทริปลาว เนื่องจากระเบียบของทางราชการกัมพูชา ค่อนข้างยุ่งยากในการนำรถยนต์ข้ามแดนไปเอง จึงเลือกใช้วิธีจ้างเหมาผู้ประกอบการไทย ในการจัดการพาคณะเราไปชมปราสาท ซึ่งระเบียบยังกำหนดให้เราต้องจ้างไกด์ท้องถิ่น 1 คนไปกันคณะเราด้วย รถบัสเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 5 ผ่านเมืองศรีสโภณ แล้วมุ่งหน้าไปตามทางหลวงหมายเลข 56 อีกประมาณ 60 กม. คิดเป็นระยะทางจากชายแดนไทยประมาณ 110 กม. ก็ถึง “ปราสาทบันทายฉมาร์”
จุดผ่านแดนบ้านคลองลึก (ด่านฯคลองลึก) อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อยู่ตรงข้ามกับ ปอยเปต อ.โอรโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เปิดทำการระหว่างเวลา 07.00-20.00 น. ผู้ที่จะเดินทางข้ามชายแดนไทยกัมพูชา ให้ถือปฏิบัติดังนี้ครับ
1. คนไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำเภอคลองลึก อำเภออรัญประเทศ อำเภอคลองหาดและอำเภอตาพระยา สามารถขอบัตรชายแดนไปเช้าเย็นกลับได้ และผู้ถือบัตรผ่านแดนชั่วคราวชาวไทย สามารถเดินทางเข้าออกราชอาณาจักรกัมพูชาได้ในจังหวัดบันเตียนเมียนเจยและจังหวัดเสียมราฐ แต่ไม่สามารค้างคืนได้
2. ผู้ถือบัตรผ่านแดนชั่วคราวชาวกัมพูชา สามารถเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยได้ในจังหวัดสระแก้วและจังหวัดปราจีนบุรี แต่ไม่สามารถค้างคืนได้ สำหรับชาวกัมพูชาที่ถือหนังสือผ่านแดน (Border Pass) สามารถพักค้างคืนที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
3. สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้าไปยังราชอาณาจักรกัมพูชา จะต้องแสดงบัตรประชาชนและพาสปอร์ต โดยขอวีซ่าจากสถานทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประเทศไทย เพื่อที่จะเข้าไปท่องเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ
4. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางเข้าไปในราชอาณาจักรกัมพูชา แบบไปเช้า-เย็นกลับ ในระยะทางไม่เกินป้อมยาม ต้องแสดงบัตรประชาชนและพาสปอร์ต
สำหรับคณะผมเข้าเงื่อนไขที่ 3. การขอวีซ่าเข้าประเทศกัมพูชาสามารถขอได้ ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองในขณะข้ามแดนได้เลย แต่ผมแนะนำให้ขอมาล่วงหน้าจากกรุงเทพฯครับ เพื่อความรวดเร็วและค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า
คุณศรัณย์ ทองปาณ กล่าวไว้ในวารสารเมืองโบราณ ฉบับ ๓๗.๒ ว่า ชาวกัมพูชาน่าจะออกเสียงชื่อปราสาทว่า “บัน-เตีย-ฉะ-มา” แต่ในที่นี้ใช้ “บันทายฉมาร์” ให้คุ้นตาผู้อ่านคนไทย เหมือนกับชื่อปราสาทอื่นๆ เช่น บันทายสรี หรือชื่อเมือง เช่น บันทายมาศ
“บันทายฉมาร์” คงเป็นชื่อเรียกสืบต่อกันมาแต่โบราณ เช่นเดียวกับชื่อปราสาทหินต่างๆ ทั้งในกัมพูชาและในประเทศไทย อย่างไรก็ดี มีการแปลความหมายเป็นสองนัย นัยหนึ่งแปลว่า “ป้อมแมว” คือ “บันเตีย/บันทาย” แปลวา “ป้อม” ส่วน “ฉมา” แปลว่า “แมว” ส่วนอีกนัยหนึ่ง เห็นควรแปลว่า “ป้อมเล็ก/ป้อมแคบ” เพราะ “ฉมาร" (ฉะ-มาร) แปลว่า “คับแคบ-เล็ก” กโรส์ลิเยร์ (George Groslier) นักโบราณคดีฝรั่งเศษที่เคยเดินทางไปสำรวจทำผังปราสาทแห่งนี้เมื่อทศวรรษ 1930 ตั้งข้อสังเกตุว่า ชื่อนี้อาจมีที่มาจากการที่กลุ่มปราสาทประธานตั้งอยู่เบียดเสียดกันมาก ขณะที่คุณอัษฏางค์ ชมดี แห่งกลุ่มสุรินทร์สโมสร ให้ทัศนะกับกองบรรณาธิการวารสารเมือโบราณ ว่า ในภาษาเขมร “ฉมาร” มิได้แปลว่าขนาดเล็ก หากแต่มีนัยว่าเป็นสิ่งอันมีความสำคัญในอันดับรองลงไป นั่นคือมีขนาดย่อมลงมากว่านครวัด-นครธม
สิ่งสำคัญที่ควรชม คือภาพสลักที่ผนังระเบียงคต แม้ส่วนใหญ่จะพังทลายไปหมดแล้ว แต่เฉพาะที่มีเหลืออยู่ก็ยังน่าดู หลายภาพสามารถเทียบเคียงได้กับภาพสลักที่ผนังระเบียงคตของปราสาทบายนในเมืองพระนคร เช่น ภาพฉากยุทธนาวีระหว่างจามปากับกัมพูชา อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆในสงครามยุคโบราณ และภาพชีวิตประจำวันของชาวบ้าน แต่ที่พิเศษสำหรับที่นี่คือ ภาพสลักบนผนังระเบียงคตด้านทิศใต้ ที่เชื่อกันว่าเป็นพระราชประวัติของเจ้าชายศิรินทรกุมาร ที่ต่อสู้กับภรตราหู ส่วนที่ผนังระเบียงคตทิศตะวันตก ยังมีภาพที่อธิบายกันว่า คือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่เรียกตามคัมภีร์ "การัณฑวยูหะ" ว่า”พระโลเกศวร” ปางต่างๆแต่เดิมเมื่อนักวิชาการฝรั่งเศสมาทำการศึกษาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 เคยมีอยู่แปดองค์หรือแปดปาง ทั้งแบบเศียรเดี่ยว หลายกร (4, 6, 8 และ 10 กร) กับองค์ที่มีหลายเศียร หลายกร (7 เศียร 16 กร, 7 เศียร 22 กร, 7 เศียร 32 กร) แต่ช่วงปี พ.ศ.2542 ถูกลักลอบโจรกรรมไปหกองค์ ทางการไทยจับยึดได้และส่งกลับไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ กรุงพนมเปญ ได้เพียง 2 องค์ คงเหลือที่สาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยถึง 4 องค์ จะสังเกตุได้ว่า ผนังด้านทิศตะวันตกถัดไปจากรูปพระโลเกศวรที่ยังคงอยู่บนกำแพง 2 องค์นั้น มี "ช่องโหว่" ที่หินหายไปยาวเหยียด ประมาณว่าภาพสลักที่ถูกลักลอบโจรกรรมไปนั้น มีความยาวถึง 12 เมตร
ร่องรอยการทำลายด้วยน้ำมือโจรในยุคไม่กี่ปีมานี้ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ปรากฏเป็นรอยแผลสดใหม่บนเนื้อหินที่ถูกกระเทาะตามใบหน้าของภาพสลักบนหน้าบันและนางอัปสร
สุดท้ายนี้ผม (นายทัศนาจร ออนไลน์) ขอทิ้งข้อคิดเอาไว้ว่า เมื่อครั้งที่พม่ายกทัพรุกรานสยาม เรารู้สึกอย่างไร ก็คงไม่ต่างจากความรู้สึกของขอมที่ถูกสยามรุกรานเช่นนั้น ปัจจุบันความเจริญทางวัตถุเดินสวนทางกับความเจริญทางจิตใจและวัฒนธรรม วันนี้ประวัติศาสตร์ไม่อาจแก้ไข แต่อนาคตเรากำหนดได้ครับ เปิดใจให้กว้าง แล้วจะเป็นสุขครับ
พิกัดสุดเขตประเทศไทยด้านสระแก้ว : N13.66128 E102.55012
พิกัดสถานีขนส่งปอยเปต : N13.65512 E102.56374
พิกัดแยกศรีโสภณ : N13.59108 E102.97352
พิกัดทางเข้าด้านตะวันออก : N14.07083 E103.10466
พิกัดปราสาท : N14.07069 E103.10085
ขอบคุณที่ติดตามชมครับ
นายทัศนาจร ออนไลน์
ข้อมูลบางส่วน : ศรัณย์ ทองปาน, วารสารเมืองโบราณ ฉบับ ๓๗.๒
รถบัสที่เรานั่งไปชมปราสาท ในภาพกำลังเติมน้ำมันครับ |
สภาพร้านค้าข้างทาง ฝั่งตรงข้ามกับปั๊มน้ำมัน |
บริเวณหน้าปราสาท เจ้าหน้าที่นำชิ้นส่วนปราสาทมาเรียงกันไว้ เพื่อบูรณะตามหลักวิชาการ |
ชิ้นส่วนเรียงกันเต็มไปหมด ไม่รู้จะต้องใช้เวลาในการบูรณะกันสักกี่ปี |
ภาพแกะสลักบนกำแพงระเบียงคตด้านทิศตะวันออก เป็นภาพสงครามระหว่างขอมกับพวกจาม |
ชิ้นส่วนหน้าบันแสดงภาพพุทธประวัติ |
ชมใกล้ๆ |
รูปสลักพระพุทธรูป ตั้งวางอยู่ที่พื้น |
รูปสลักนี้สันนิษฐานว่าอาจเป็นพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และศรินทรกุมาร |
รูปสลักกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 |
เดิมชมปราสาทกัน |
ระเบียงคตทางทิศใต้ |
ระเบียงคตของปราสาทบันทายฉมาร์มีลักษณะเดียวกับปราสาทนครวัด คือมีผนังด้านในก่อทึบ ส่วนด้านนอกใช้แนวเสาหินค้ำยันหลังคา |
ปราสาทลงมากองอยู่ที่พื้นมากมาย |
ระเบียงคตด้านใต้ กับไกด์ชาวกัมพูชา ที่พูดภาษาไทยชัดมาก |
ถวายหัวศัตรู |
ภาพกว้าง |
ภาพสลักพระพุทธเจ้าสูงสุดมหาไวโรจน หรือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 32 กร บนผนังระบียงคตด้านทิศตะวันตก หนึ่งในสองภาพที่ยังคงเหลืออยู่ที่ปราสาท |
ภาพสลักพระพุทธเจ้าสูงสุดมหาไวโรจน 20 กร บนผนังระบียงคตด้านทิศตะวันตก ภาพที่สองที่ยังคงเหลืออยู่ที่ปราสาท |
คัมภีร์การันฑวยูหสูตร กล่าวว่ามีเทพเจ้า 12 องค์ ออกมาจากพระองค์ รูปสลักเทพเจ้าต่างๆ แทนด้วยวงกลมที่รายล้อมอยู่รอบพระองค์ |
พระหัตถ์ขวามีพระโลเกศวรประทับอยู่ |
พระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำอมฤต |
ภาพนี้สันนิษฐานว่าเป็นภาพเจ้าชายศรินทรกุมารกำลังต่อสู้กับภรตราหุ บนผนังระเบียงคตด้านทิศใต้ |
ภาพเจ้าชายศรินทรกุมารอีกภาพ |
ภาพสงคราม |
ยังอยู่ที่ด้านทิศใต้ |
เดินตัดเข้ากลางปราสาทจากประดูทิศใต้ |
ปรางค์ที่สร้างอุทิศแก่แม่ทัพทั้งสี่ มีพระพักตร์ของพระโลเกศวรอยู่บนยอด |
แต่มีทฤษฎีใหม่แย้งว่า อาจเป็นภาพของพระเหวัชระ เทพอีกองค์หนึ่งในพุทธศาสนาวัชรยานก็เป็นได้ |
เทพเจ้า "ตรีมูรติ" ในลัทธิ "ฮินดูตันตระ" มีพระศิวะอยู่บนยอด พระนารายณ์อยู่ทางขวาและพระพรหมอยู่ทางซ้าย |
ภาพสลักต้นเรื่องรามายณะ เมื่อฤๅษีวาลมิกิแลเห็นนายพรานสังหารคู่กระเรียน เกิดความสลดใจ อุทานเป็นโศลก พระพรหมจึงปรากฏพระองค์กล่าวแก่ฤๅษี ให้ร้อยเรียงวีรกรรมของพระรามด้วยฉันทลักษณ์นั้น |
ภาพกว้าง |
ผังปราสาทจากวารสารเมืองโบราณ |
วารสารเมืองโบราณ ฉบับ ๓๗.๒ |
ผู้มีอุปการะคุณของทั้งสามบ้าน อิอิ... |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น