วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 03 (มะละกา)

วันที่ 12 ตุลาคม 2556 - วันนี้เราต้องอำลาเมืองบรินชาง คาเมรอน ไฮแลนด์กันแล้ว บรินชางเป็นเมืองที่โดดเด่นในเรื่องธรรมชาติป่าเขาสวยงาม แต่ที่หมายต่อไปคือเมืองมะละกา เป็นเมืองมรดกโลกตั้งอยู่ห่างออกไปประมาณ 363 กิโลเมตร เมืองนี้จะพาเรากลับไปสู่อารยะธรรมย้อนยุคย้อนประวัติศาสตร์ครับ

มะละกา (อังกฤษ: Malacca; มาเลย์: Melaka) เป็นเมืองเอกของรัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย ในอดีตที่นี่เป็นเมืองท่าสำคัญที่เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก ต่อมามะละกาได้ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกทั้งโปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ อาคารในมะละกาจึงมีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมท้องถิ่น กับเจ้าอาณานิคมนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 มะละกาและจอร์จทาวน์ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีภูมิสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ซ้ำใครทั้งในตะวันออกกลางและ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (วิกิพีเดีย)
 
ออกจากเมืองบรินชาง ผมใช้ถนนสาย 59 สายเดิมไม่เลี้ยวขวาขึ้นเหนือย้อนทางเดิม แต่เลี้ยวซ้ายลงใต้ผ่านเมือง Ringlet ไปจนสุดถนนสาย 59 เพื่อขึ้นทางด่วน E1 ที่ Exit 132 ช่วงนี้ทางโค้งโหดน้อยกว่าขามาหน่อยครับ ผ่าน Lata Iskandar Waterfall ด้วยแต่แวะไม่ได้คนเยอะมากไม่มีที่จอดรถเลย คงเป็นเพราะเป็นวันหยุดชาวมาเลเซียจึงออกท่องเที่ยวกันครับ

 วิ่งลงใต้ไปเรื่อยๆผ่านกัวลาลัมเปอร์ แล้วใช้ถนนสาย E2 ลงใต้ต่อไปอีก จนไปออกที่ Exit 231 เพื่อเข้าเมืองมะละกาครับ แล้วก็ตามธรรมเนียม(ของผมเอง)ที่จะต้องแวะ R&R เพื่อกินข้าวกัน

เล็งกันไปๆมาๆก็มาจบที่นี่ครับ (เพราะร้านเขาติดแอร์์ ^_^)

ชาเย็นร้านโดนัท เขาใช้ชาของ BOH ด้วย

อาหารก็ประมาณนี้ครับ
สัญลักษณ์ของเมืองหลวงคือ รถติด

 ผ่านกลางเมืองมาแล้วก็เข้าทางด่วนกันอีกทีครับ ช่วงนี้จะเข้า E2กันแล้ว

 ถึงแม้น้ำมันจะราคาถูก แต่เขาก็ใช้รถประหยัดน้ำมันแบบนี้กันเยอะเลยครับ

ออกทางด่วนที่ Exit 231

 คันนี้เจอก่อนเข้าตัวเมืองมะละกา เห็นอะไรแปลกๆหรือไม่ครับ คือธรรมดาแล้วรถจากไทยเข้ามาเลเซียต้องไปตัดสติกเกอร์พื้นดำตัวหนังสือขาว ที่แปลอักษรภาษาไทยเป็นอักษรภาษาอังกฤษติดหน้าหลังรถ 
แต่รถมาเลเซียเข้าไทยไม่ต้องไปตัดสติกเกอร์แล้วแปลเป็นหมวดอักษรเป็นภาษาไทยอย่างนี้ครับ

ถึงที่พักวันนี้แล้วครับ การเดินทางวันนี้ 360 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 6 ชั่วโมง 20 นาที ลงทะเบียนรับกุญแจห้องพัก นอนพ้กผ่อน ช่วงเย็นๆก็ขับรถชมเมืองกัน

 ชมคลิปขับรถชมเมืองมะละกา

หาที่จอดรถที่ไมท่เสียเงินและไม่เสี่ยงใบสั่งไม่ได้เลย เต็มหมด วนไปมาก็ยอมเข้ามาจอดในห้าง Mahkota Parade เลยเสร็จอาหารเย็นร้านนี้ครับ Old Town Coffee Mahkota Parade

อร่อยถูกปากกันทุกคน เรายังคงจอดรถไว้ที่ Mahkota Parade แล้วเดินไปชม Menara Taming Sari กัน ใช้เวลาเดินข้ามถนนไปไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง

Menara Taming Sari คือเจ้านี่ละครับ ผมเรียกหอคอยหมุน เพราะเมื่อขึ้นไปจนสุดแล้วมันจะหมุน 3 รอบ ให้ชมวิวเมืองมะละกาแบบ 360 องศา แล้วก็ค่อยๆเลื่อนลงมา เป็นอันจบครบรอบ

ค่าเสียหายก็คนละ 20 ริงกิต




ลานจอดรถด้านบนของภาพ คือที่จอดรถของ Mahkota Parade

วิวจากกระเช้าลอยฟ้า

ศูนย์การค้าและโรงแรมที่นี่ใช้ระบบการจัดเก็บค่าจอดรถด้วยตู้อัตโนมัติกันเป็นส่วนใหญ่ครับ ก่อนเข้าจอดต้องกดตู้รับบัตร ก่อนกลับต้องไปเสียเงินค่าจอดก่อนด้วยตู้แบบนี้ครับ อีกอย่างนึงจอดรถตามถนนต้องดูให้ดีครับ เพราะจะมีที่จอดแบบต้องเสียค่าจอดด้วยคูปอง เจ้าของรถต้องซื้อคูปองแล้ววางไว้หน้ารถด้านในให้ จนท.เห็น ไม่งั้นโดนใบสั่ง

ชมคลิปขับรถชมเมืองมะละกาตอนกลางคืนกันครับ

กลับไปจอดรถที่โรงแรมแล้วเดินมา Jonker Walk ก็ถนนคนเดินนั่นแหละครับ
จะมีวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ นะครับไม่ได้มีทุกวัน เล็งวันกันให้ดีๆ

 หนึ่งในความตั้งใจของผมคือนี่ครับ เอแคลทุเรียนนั่นเอง... แต่ที่หาไม่เจอคือลอดช่องทุเรียน ^_^

ผู้คนคนมากมาย

เหมือนขนมจากบ้านเราเลย
ธนบัตรไทย

แพนเค้ก ทุเรียน อันนี้ก็เหมือนขนมถังแตกบ้านเรา

ติ่มซำ ตอนซื้อก็คิดว่ารสชาติคงงั้นๆ แต่พอได้ลองชิมปรากฏว่ารสชาติดีมากครับ

มีถุงใส่ให้หน้าร้าน แม่ค่าให้เราเอาไม้จิ้มเลือกเองเลย

ครบรอบแล้ว หมดแรงกันเป็นแถว ปล่อยให้เด็กๆเดินกลับที่พักไปก่อน
ส่วนผมแวะกินหอยทอดกันต่อ

วันที่ 13 ตุลาคม 2556 - วันนี้จะเป็นวันของมะละกาแบบเต็มวันกันเลยทีเดียว เริ่มด้วยมุมมหาชน

ระหว่างทางเดินไปชม โบสถ์เซ็นปอล (St. Paul's Church) มองเห็นกระเช้าลอยฟ้า และพิพิธภัณฑ์สมุทรศาตร์มะละกา (Melaka Maritime Museum) อยู่ลิบๆทางขวา
หน้าโบสถ์หลังเก่า พบเห็นรูปปั้นของ "เซ็นต์ ฟรานซิส เซเวียร์" นักบวชชาวสเปนที่ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่คริสต์สาสนานิกายโรมันคาทอลิก

โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1521 โดยกัปตันเรือชาวโปรตุเกส ใช้ชื่อโบสถ์ว่า Duarte Coelho สร้างเสร็จในปี 1753 ได้มีการยกเลิกการใช้งานโบสถ์ และชาวดัตช์เปลี่ยนเนินเซนต์ปอนด์เป็นสุสานฝั่งศพของบุคคลสำคัญ ในปี 1553 ได้ใช้โบสถ์เซนต์ปอนด์ เป็นสถานที่ฝั่งศพของ St. Francis Xavier ซึ่งหลังจากนั้นได้มีการเคลื่อนย้ายไปยังเมืองโกอา ประเทศอินเดีย

ศิลาจารึกแก่ผู้วายชนม์

ขลังดีเหมือนกัน

หนุ่มน้อย

สีใหม่กับของเก่าไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่

สามล้อมะละกาที่ผู้คนกล่าวถึง แต่ละคันจัดเต็ม

น้ำพุที่หอนาฬิกา จตุรัสดัตช์ (Dutch Square)

โบสถ์คริส สัญลักษณ์แห่งเมืองมะละกา

ถนนอนุรักษ์






แม่น้ำมะละกา

พิพิธภัณฑ์สมุทรศาตร์มะละกา (Melaka Maritime Museum)
สร้างเป็นรูปเรือสำเภาจำลองของชาวโปรตุเกส ชื่อว่า "Flora de La Mar"

ค่าเข้าคนละ 6 ริงกิต

ทางขึ้นและลงอยู่ต้านหลัง

ข้างในติดเรื่องปรับอากาศ ช่วยได้มาก

เงินโบราณ

ทำเป็นรูปสัตว์ด้วย

หน้าตาคนในสมัยก่อนเป็นอย่างนี้นี่เอง

ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว กะว่าจะไปหาศูน์อาหารของห้าง Dataran Pahlawan

ภาพนี้ถ่ายจากสะพานข้ามถนนของห้าง Dataran Pahlawan เห็นกระเช้าลิบๆ

ศูนย์อาหารชั้น 3 แต่ปรากฏว่าเดินดู 1 รอบ ยังไม่เข้าตากรรมการเท่าที่ควร
กรรมการทั้ง 4 ท่าน จึงมีมติให้กลับไป Mahkota Parade ดีกว่า

ที่ศูนย์อาหารของ Mahkota Parade มีร้าน Thai Kitchen ด้วย

แต่เราตกลงลองร้านนี้ครับ ร้าน "Clay Pot"

หน้าตาอาหารประมาณนี้ แจ้งความประสงค์ว่าจะเอาเมนูไหน แล้วร้านจะเขียนออร์เดอร์ให้ไปจ่ายเงิน

อันนี้ของผม มาม่า นั่นเอง สังเกตุฟองนะครับ นั่นคือสัญลักษณ์ของการเดือดครับ

อันนี้ของจิณณ์

อันนี้ของคุณนภา

อันนี้ของพู่กัน

 บ่ายแก่ๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งพักเติมกาแฟ แต่ผมมีคำถามว่าที่นี่ใช้นมสดอะไรครับ

ตกเย็นตามล่าหารอาหารกันดีกว่า ร้านนี้เล็งไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเมืองมะละกา ชื่อร้าน "Restoran Lee"

มาเป็นโต๊ะแรกเลย พอนั่งเท่านนั้นแหละ มีผู้คนตามมาเป็นทิวแถว คิดอยู่ในใจว่าคงมาไม่ผิดร้านแน่ๆ

เริ่มด้วยหมูผัดเปรี๊ยวหวาน

ผัดคะน้า

ปูผัดผงกะหรี่ จานนี้คาดผิด น้ำว่าจะเป็นแบบบ้านเราที่ใส่ไขด้วย ปรากฏว่าผัดผงกะหรี่ล้วนๆ 
ชิมคำแรกก็เผ็ดใช้ได้ทีเดียว แต่เด็กๆไม่ถอยครับ

แต่ละคน หน้าแดง 555

ปิดท้ายด้วยปูผัดพริกไทยดำ รายการนี้ถูกใจที่สุครับ  
ผัดแบบแห้งๆ เค็มเล็กน้อย หอมพริกไท ให้ 5 ดาวครับ

ต้องระวังครับ พวกนี้พวกก้ามใหญ่ ^_^

ก้มหน้าก้มตากินไปสักพัก โอ...คนเต็มร้านเลย เต็มทุกโต๊ะ

จอดรถหน้าร้านได้เลยครับ

ร้านอยู่เยื้องกับโรงแรมเบย์วิวโฮเตลครับ

หลังจากจัดการมื้อค่ำเสร็จแล้ว ผมเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาว่าจะไปนั่งเรือท่องแม่น้ำมะละกาต่อดีมั้ย สมาชิกเด็กๆลงมติว่าอยากกลับที่พักนอน โปรแกรมสำหรับมะละกาจึงจบลงเพียงเท่านี้ครับ

 วันที่ 14 ตุลาคม 2556 - หลังจากมื้อเช้าของโรงแรม คณะเราก็เก็บของเดินทางเข้าเมืองหลวงของประเทศนี้ "กัวลาลัมเปอร์" ครับ และขอจบตอนมะละกาไว้เพียงเท่านี้ ติดตามตอนต่อไปที่กัวลาลัมเปอร์ครับ

ขอบคุณและสวัสดี
นายทัศนาจร ออนไลน์

พิกัด GPS


Lata Iskandar Waterfall - N4.32445 E101.32510
Hotel Hallmark Leisure - N2.20003 E102.24682 
St Paul's Church Parking - N2.19320 E102.24849
St Paul's Church - N2.19274 E102.24965
Christ Church - N2.19431 E102.24938
River Watermill - N2.19420 E102.24804
Melaka Maritime Museum - N2.19197 E102.24661
Menara Taming Sari - N2.19094 E102.24703
Old Town Coffee Mahkota Parade - N2.18920 E102.25005
Jonker Walk.Eest - N2.19503 E102.24830
Jonker Walk.West  - N2.19820 E102.24458
Restoran Lee - N2.20135 E102.25276


ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 01 (หาดใหญ่-คาเมรอน ไฮแลนด์)

ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 02 (คาเมรอน ไฮแลนด์)

ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 03 (มะละกา)

ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 04 (กัวลาลัมเปอร์)

ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 05 (เก็นติ้ง ไฮแลนด์)

ขับเดี่ยวเที่ยวแหลมมลายู ตอนที่ 06-ตอนจบ (จอร์จทาวน์ ปีนัง)

2 ความคิดเห็น: